การร้อยไหมคืออะไร และคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการร้อยไหม
ร้อยไหม คือ วิธีการยกกระชับผิวหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด โดยแพทย์จะใช้เข็มนำ ไหมละลาย ที่มีลักษณะคล้ายเงี่ยง หรือมีปุ่มเล็กๆ ร้อยเข้าไปใต้ชั้นผิวหนังตามแนวที่ต้องการยกกระชับ เมื่อร้อยไหมเข้าไปแล้ว เงี่ยงหรือปุ่มเหล่านี้จะเกี่ยวและยึดเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ทำให้สามารถดึงและยกผิวที่หย่อนคล้อยให้ตึงขึ้นได้ทันที
นอกจากผลลัพธ์ในการยกกระชับแล้ว การร้อยไหมยังช่วย กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น เต่งตึง และดูอ่อนเยาว์ขึ้นในระยะยาว
ประเภทของไหมที่นิยมใช้ในการร้อยหน้า:
- ไหมละลาย: เป็นไหมที่ทำจากวัสดุที่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย และเป็นที่นิยมใช้มากที่สุดในปัจจุบัน มีหลายชนิด เช่น
- ไหม PDO (Polydioxanone): มีความยืดหยุ่นสูง สลายได้ประมาณ 6-8 เดือน
- ไหม PLLA (Poly L-lactic Acid): มีความแข็งแรง สลายได้ประมาณ 12 เดือน และช่วยกระตุ้นคอลลาเจนได้ดี
- ไหม PCL (Polycaprolactone): มีความแข็งแรงและยืดหยุ่น สลายได้นานประมาณ 12-24 เดือน และกระตุ้นคอลลาเจนได้ยาวนาน
- ไหมไม่ละลาย: ทำจากวัสดุที่ไม่สามารถสลายได้เอง เช่น ไหมทองคำ หรือไหมพลาสติก แต่ไม่นิยมใช้ในปัจจุบันเนื่องจากอาจมีผลข้างเคียงในระยะยาว
Q : ร้อยไหมช่วยเรื่องอะไรบ้าง
การร้อยไหมช่วยในเรื่องต่างๆ ดังนี้ค่ะ:
- ยกกระชับผิวหน้าที่หย่อนคล้อย: เป็นผลลัพธ์หลักของการร้อยไหม ช่วยยกแก้มที่ตก ลดเหนียงใต้คาง ทำให้กรอบหน้าดูคมชัดขึ้น และผิวบริเวณลำคอดูกระชับขึ้น
- ลดเลือนริ้วรอย: เส้นไหมที่ร้อยเข้าไปใต้ผิวหนังจะช่วยพยุงผิวและลดเลือนริ้วรอยตื้นๆ เช่น ริ้วรอยบริเวณหน้าผาก หางตา และร่องแก้มให้ดูจางลง
- ปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น: การร้อยไหมบางเทคนิคสามารถช่วยยกกระชับผิวบริเวณแก้มและกรอบหน้า ทำให้ใบหน้าดูเรียวและได้รูปทรง V-Shape มากขึ้น
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน: เมื่อร่างกายรับรู้ว่ามีสิ่งแปลกปลอม (เส้นไหม) อยู่ใต้ผิวหนัง จะกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น เต่งตึง และดูอ่อนเยาว์ในระยะยาว
- ผิวพรรณดูสดใสและมีชีวิตชีวาขึ้น: การกระตุ้นคอลลาเจนและอิลาสตินยังส่งผลให้ผิวดูเปล่งปลั่ง สุขภาพดี และมีน้ำมีนวลมากขึ้น
- รูขุมขนกระชับขึ้น: บางรายงานระบุว่าการร้อยไหมอาจช่วยให้รูขุมขนดูเล็กลงได้บ้าง เนื่องจากการที่ผิวมีความกระชับมากขึ้น
- เห็นผลลัพธ์ได้ค่อนข้างรวดเร็ว: หลังจากการร้อยไหม คุณจะสามารถสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีในระดับหนึ่ง และผลลัพธ์จะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อคอลลาเจนใต้ผิวหนังถูกกระตุ้นมากขึ้น
สรุปคือ การร้อยไหมเป็นหัตถการที่ช่วยแก้ปัญหาผิวหน้าหลายประการ ทั้งในเรื่องความหย่อนคล้อย ริ้วรอย และคุณภาพผิวโดยรวมค่ะ
Q : ร้อยไหมเจ็บไหม?
ความรู้สึกเจ็บจากการร้อยไหมนั้น แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ค่ะ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
- ความทนทานต่อความเจ็บปวดของแต่ละคน: บางคนมีความรู้สึกไวต่อความเจ็บปวดมากกว่าคนอื่น
- บริเวณที่ทำการร้อยไหม: บริเวณที่มีเส้นประสาทหนาแน่นอาจรู้สึกเจ็บกว่าบริเวณอื่น
- เทคนิคและประสบการณ์ของแพทย์: แพทย์ที่มีความชำนาญและใช้เทคนิคที่ดีจะช่วยลดความเจ็บปวดได้
- ชนิดและจำนวนของไหมที่ใช้: การร้อยไหมจำนวนมากหรือใช้ไหมบางชนิดอาจทำให้รู้สึกเจ็บมากกว่า
- การเตรียมตัวก่อนทำ: การพักผ่อนให้เพียงพอและสภาพร่างกายที่พร้อมอาจช่วยลดความรู้สึกเจ็บได้
โดยทั่วไปแล้ว ขั้นตอนการร้อยไหมจะมีการใช้ยาชาเพื่อลดความเจ็บปวด ซึ่งมีทั้งแบบทาและแบบฉีด
- ยาชาแบบทา: จะช่วยลดความรู้สึกเจ็บในระดับผิวเผิน
- ยาชาแบบฉีด: จะช่วยระงับความรู้สึกในบริเวณที่จะทำการร้อยไหมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า ทำให้ระหว่างทำแทบจะไม่รู้สึกเจ็บเลย หรืออาจรู้สึกเพียงเล็กน้อยคล้ายมดกัด
ความรู้สึกหลังการร้อยไหม:
หลังยาชาหมดฤทธิ์ อาจจะรู้สึก ตึงๆ หน่วงๆ บวมช้ำ หรือมีอาการเจ็บเล็กน้อย ในบริเวณที่ร้อยไหม ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะหายได้เองภายใน 2-3 วัน โดยสามารถประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมช้ำและรับประทานยาแก้ปวดหากมีอาการเจ็บมากได้ค่ะ

Q: ร้อยไหมมีกี่แบบ?
การร้อยไหมสามารถแบ่งออกได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่งค่ะ หลักๆ แล้วจะแบ่งตาม ชนิดของไหม และ เทคนิคการร้อย ค่ะ
แบ่งตามชนิดของไหม:
- ไหมละลาย (Absorbable Sutures): เป็นไหมที่นิยมใช้มากที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากมีความปลอดภัยและสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย แบ่งย่อยได้อีกหลายชนิดตามวัสดุที่ใช้ผลิตและระยะเวลาในการสลายตัว เช่น
- ไหม PDO (Polydioxanone): สลายตัวประมาณ 6-8 เดือน กระตุ้นคอลลาเจนได้ดีระดับหนึ่ง
- ไหม PLLA (Poly L-lactic Acid): สลายตัวประมาณ 12 เดือน กระตุ้นคอลลาเจนได้ดีมาก ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ในระยะยาว
- ไหม PCL (Polycaprolactone): สลายตัวประมาณ 12-24 เดือน มีความยืดหยุ่นสูงและกระตุ้นคอลลาเจนได้ยาวนาน
- ไหมไม่ละลาย (Non-absorbable Sutures): เป็นไหมที่ไม่สามารถสลายตัวได้เอง ต้องทำการผ่าตัดออกในอนาคต ปัจจุบันไม่นิยมใช้แล้วเนื่องจากอาจมีผลข้างเคียงในระยะยาว เช่น การเกิดพังผืด หรือการอักเสบเรื้อรัง ตัวอย่างเช่น ไหมทองคำ หรือไหมพลาสติก
แบ่งตามเทคนิคการร้อย:
เทคนิคการร้อยไหมจะแตกต่างกันไปตามปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไขและผลลัพธ์ที่ต้องการ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้ประเมินและเลือกเทคนิคที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ตัวอย่างเทคนิคที่นิยมใช้ ได้แก่:
- การร้อยไหมยกกระชับ (Lifting Thread Lift): เป็นเทคนิคที่เน้นการยกผิวที่หย่อนคล้อยให้ตึงขึ้น มักใช้ไหมที่มีเงี่ยง (Barbed Threads) หรือปุ่ม เพื่อเกี่ยวและดึงเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง
- การร้อยไหมเติมเต็ม (Volume Thread Lift): เป็นเทคนิคที่เน้นการกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อเติมเต็มร่องลึกและเพิ่มความอิ่มฟูให้กับผิว มักใช้ไหมที่มีลักษณะเป็นเส้นเล็กๆ จำนวนมาก หรือไหมที่มีโครงสร้างพิเศษ
- การร้อยไหมปรับรูปหน้า (Contouring Thread Lift): เป็นเทคนิคที่ผสมผสานการยกกระชับและการเติมเต็ม เพื่อปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนที่สวยงาม เช่น การทำให้ใบหน้าเรียวขึ้น (V-Shape)
- การร้อยไหมเก็บกรอบหน้า (Jawline Contouring): เป็นเทคนิคเฉพาะที่เน้นการยกกระชับผิวบริเวณกรอบหน้าและลดเหนียง เพื่อให้ใบหน้าดูคมชัดขึ้น
- การร้อยไหมกระตุ้นผิว (Skin Rejuvenation Thread Lift): เป็นเทคนิคที่เน้นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินทั่วใบหน้า เพื่อให้ผิวดูสดใส เปล่งปลั่ง และมีสุขภาพดีขึ้น มักใช้ไหมขนาดเล็กจำนวนมาก
นอกจากนี้ ยังอาจมีการแบ่งประเภทของไหมตามลักษณะของเส้นไหม เช่น:
- ไหมเส้นตรง (Mono Threads): เป็นไหมเส้นเดี่ยว เรียบ ไม่มีเงี่ยง มักใช้ในการกระตุ้นคอลลาเจนและปรับปรุงคุณภาพผิว
- ไหมมีเงี่ยง (Barbed Threads): เป็นไหมที่มีเงี่ยงเล็กๆ รอบเส้นไหม ช่วยในการเกี่ยวและยกกระชับผิวได้ดี
- ไหมสกรู (Screw Threads) หรือไหมเกลียว (Tornado Threads): เป็นไหมที่พันกันเป็นเกลียว มักใช้ในการเติมเต็มและกระตุ้นคอลลาเจนในบริเวณเฉพาะจุด
- ไหม Cog Threads: เป็นไหมที่มีเงี่ยงขนาดใหญ่และแข็งแรงกว่าไหม Barbed Threads ให้แรงยกกระชับที่มากขึ้น
Q: การร้อยไหมอยู่ได้นานไหม?
ระยะเวลาที่ผลลัพธ์ของการร้อยไหมอยู่ได้นานนั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ค่ะ แต่โดยทั่วไปแล้วสามารถแบ่งได้ดังนี้:
- ชนิดของไหมที่ใช้: นี่เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด
- ไหม PDO (Polydioxanone): โดยเฉลี่ยผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน
- ไหม PLLA (Poly L-lactic Acid): ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานกว่า โดยเฉลี่ยประมาณ 12-18 เดือน เนื่องจากกระตุ้นคอลลาเจนได้ดีกว่า
- ไหม PCL (Polycaprolactone): เป็นไหมที่อยู่ได้นานที่สุด โดยเฉลี่ยประมาณ 18-24 เดือน และยังช่วยกระตุ้นคอลลาเจนได้ยาวนาน
- เทคนิคการร้อยของแพทย์: เทคนิคการร้อยที่ถูกต้องและเหมาะสมกับปัญหาผิวจะช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น
- สภาพผิวและอายุของแต่ละบุคคล: ผู้ที่มีอายุน้อยและสภาพผิวดีอาจเห็นผลลัพธ์ได้นานกว่าผู้ที่มีอายุมากและผิวหย่อนคล้อยมาก
- การดูแลผิวหลังการร้อยไหม: การดูแลผิวตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น การหลีกเลี่ยงการนวดหน้าแรงๆ หรือการทำทรีตเมนต์บางชนิด อาจช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น
- ไลฟ์สไตล์: พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การสูบบุหรี่ การโดนแสงแดดจัดๆ หรือการพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจส่งผลให้คอลลาเจนเสื่อมสภาพเร็วขึ้นและทำให้ผลลัพธ์ของการร้อยไหมอยู่ได้สั้นลง

Q: ร้อยไหมมีผลข้างเคียงไหม?
การร้อยไหมเป็นการหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัด แต่ก็อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้บ้าง ซึ่งส่วนใหญ่มักไม่รุนแรงและหายได้เองภายในระยะเวลาสั้นๆ ค่ะ ผลข้างเคียงที่อาจพบได้มีดังนี้:
ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย:
- อาการบวมและช้ำ: เป็นอาการที่พบได้มากที่สุดหลังการร้อยไหม โดยเฉพาะในช่วง 2-3 วันแรก สามารถบรรเทาได้ด้วยการประคบเย็น
- อาการเจ็บหรือตึงบริเวณที่ร้อยไหม: อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยหรือไม่สบายผิวบริเวณที่ร้อยไหม ซึ่งสามารถรับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาได้
- รอยแดงหรือรอยเข็ม: อาจมีรอยแดงเล็กน้อยหรือรอยเข็มบริเวณที่ร้อยไหม ซึ่งจะค่อยๆ จางหายไปเอง
- ผิวไม่เรียบเนียนหรือเป็นคลื่น: ในบางกรณี อาจเกิดผิวไม่เรียบเนียนหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย ซึ่งมักจะดีขึ้นเองเมื่อผิวปรับตัวเข้าที่
- อาการคัน: อาจมีอาการคันเล็กน้อยบริเวณที่ร้อยไหม
- ไหมโผล่: ในบางครั้ง ปลายไหมอาจโผล่ออกมาเล็กน้อย ซึ่งสามารถให้แพทย์ตัดออกได้
การป้องกันและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง:
- เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ: การร้อยไหมควรทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และมีความรู้ความชำนาญ เพื่อลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง
- แจ้งประวัติการแพ้ยาและโรคประจำตัวให้แพทย์ทราบ: เพื่อให้แพทย์ประเมินความเสี่ยงและเลือกไหมที่เหมาะสม
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด: ทั้งก่อนและหลังการร้อยไหม เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียงและการติดเชื้อ
- สังเกตอาการผิดปกติ: หากมีอาการผิดปกติ เช่น บวมแดงมากขึ้น มีหนอง หรือมีอาการเจ็บปวดรุนแรง ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
ทั้งน้ผลข้างเคียงต่างๆถ้าได้รับการบริการจากคลินิคที่น่าเชื่อถือและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก็สามารถลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงได้เป็นอย่างมาก
Q: ร้อยไหมราคาเท่าไหร่?
ราคาของการร้อยไหมมีความหลากหลายมากค่ะ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ดังนี้:
- ชนิดของไหม: ไหมแต่ละชนิดมีราคาแตกต่างกันไป เช่น ไหม PDO จะมีราคาถูกกว่าไหม PLLA หรือไหม PCL รวมถึงไหมที่มีเทคโนโลยีพิเศษ เช่น ไหม Mint Lift หรือไหม Tesslift ก็จะมีราคาสูงกว่า
- จำนวนเส้นไหมที่ใช้: โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งใช้จำนวนเส้นไหมมาก ราคาก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย
- เทคนิคการร้อยของแพทย์: แพทย์ที่มีประสบการณ์และเทคนิคเฉพาะตัวอาจมีค่าบริการที่สูงกว่า
- ชื่อเสียงและมาตรฐานของคลินิก: คลินิกที่มีชื่อเสียง มีมาตรฐาน และใช้อุปกรณ์ที่ทันสมัย มักจะมีราคาที่สูงกว่าคลินิกทั่วไป
- โปรโมชั่น: หลายคลินิกมักมีโปรโมชั่นร้อยไหมเป็นครั้งคราว ซึ่งอาจทำให้ราคาถูกลงได้
- บริเวณที่ทำการร้อยไหม: การร้อยไหมในบริเวณที่กว้าง หรือต้องการความละเอียดสูง อาจมีราคาสูงกว่าการร้อยในบริเวณเล็กๆ เช่น การร้อยไหมจมูก หรือร้อยไหมยกหางตา
ราคาโดยประมาณ (อ้างอิงจากข้อมูล ณ ปัจจุบัน):
- ไหม PDO (Polydioxanone): ราคาเริ่มต้นอาจอยู่ที่หลักพันบาทต่อครั้ง (สำหรับจำนวนเส้นไม่มาก) ไปจนถึงหลักหมื่นบาท ขึ้นอยู่กับจำนวนเส้นและโปรโมชั่น
- ไหม PLLA (Poly L-lactic Acid): ราคามักจะสูงกว่าไหม PDO เริ่มต้นอาจอยู่ที่หลักหมื่นบาทต่อครั้ง
- ไหม PCL (Polycaprolactone): ราคาก็ใกล้เคียงกับไหม PLLA หรือสูงกว่าเล็กน้อย
- ไหม Mint Lift หรือ Tesslift: เป็นไหมพรีเมียม ราคาสูงกว่าไหม PDO อย่างเห็นได้ชัดเจน อาจเริ่มต้นที่หลักหมื่นบาทต่อครั้ง
ท่านที่สนใจการร้อยไหมกับ อะกาลิโกคลินิค สามารถสอบถามเข้ามาได้ทางเว็ปไซต์หรือไลน์เลยคะ
Q: ควรร้อยไหมที่ไหนดี?
1. เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและน่าเชื่อถือ:
- มีใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคลินิกมีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย
- สะอาดและถูกสุขลักษณะ: สภาพแวดล้อมของคลินิกควรสะอาด ปลอดภัย และมีการจัดการด้านสุขอนามัยที่ดี
- มีอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย: คลินิกที่ดีควรมีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานและมีการดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ
- มีรีวิวที่ดีจากผู้ใช้บริการจริง: อ่านรีวิวจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น เว็บไซต์ของคลินิก โซเชียลมีเดีย หรือเว็บไซต์รีวิวต่างๆ เพื่อดูประสบการณ์ของลูกค้าท่านอื่น
2. เลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์:
- เป็นแพทย์ผิวหนังหรือแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านการร้อยไหมโดยเฉพาะ: ตรวจสอบประวัติและคุณวุฒิของแพทย์
- มีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม: ยืนยันว่าแพทย์มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพอย่างถูกต้อง
- สามารถให้คำปรึกษาและประเมินสภาพผิวได้อย่างละเอียด: แพทย์ที่ดีจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับชนิดของไหม เทคนิคการร้อย และผลลัพธ์ที่คาดหวังได้อย่างชัดเจน
- มีผลงานการร้อยไหมที่เป็นที่น่าพอใจ: ขอดูภาพ Before & After ของผู้ที่เคยรับบริการจากแพทย์ท่านนั้น
- มีความเข้าใจในเทคนิคการร้อยไหมที่หลากหลาย: สามารถเลือกเทคนิคที่เหมาะสมกับปัญหาผิวและความต้องการของคุณได้
3. พิจารณาชนิดของไหมที่คลินิกใช้:
- ใช้ไหมละลายที่ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ: สอบถามเกี่ยวกับยี่ห้อและชนิดของไหมที่คลินิกใช้ และตรวจสอบว่าเป็นไหมที่ได้รับการรับรอง
- มีไหมให้เลือกหลากหลาย: คลินิกที่ดีควรมีไหมหลายชนิดให้เลือก เพื่อให้แพทย์สามารถเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับสภาพผิวและปัญหาของคุณได้
4. สอบถามรายละเอียดค่าใช้จ่ายให้ชัดเจน:
- ราคาที่สมเหตุสมผล: เปรียบเทียบราคากับหลายๆ คลินิก แต่ไม่ควรเลือกที่ราคาถูกจนเกินไป เพราะอาจหมายถึงคุณภาพที่ไม่ดี
- ไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝง: สอบถามให้แน่ใจว่าราคาที่แจ้งรวมค่าอะไรบ้าง
5. การบริการและความสะดวกสบาย:
- พนักงานให้ข้อมูลและบริการที่ดี: ตั้งแต่การให้คำปรึกษาเบื้องต้น การนัดหมาย และการดูแลหลังการรักษา
- เดินทางสะดวก: พิจารณาถึงทำเลที่ตั้งของคลินิกและความสะดวกในการเดินทาง
ซึ่งทางอะกาลิโกคลินิค มีแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะ มีคลินิคที่มีมาตราฐานตรวจสอบได้ ท่านที่สนใจร้อยไหมกับอะกาลิโกคลินิค สามารถติดต่อเข้ามาสอบถามราคา หรือปรึกษาปัญหาได้เลยคะ
Recent Comments