ฟิลเลอร์คืออะไร และช่วยเรื่องอะไรบ้าง
“ในโลกแห่งความงามและการดูแลผิวพรรณ เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ได้ถูกพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่ปรารถนาจะคงไว้ซึ่งความอ่อนเยาว์และเสริมสร้างความมั่นใจ หนึ่งในหัตถการที่ได้รับความนิยมอย่างสูงและเป็นที่รู้จักกันดีก็คือ การฉีดฟิลเลอร์ แล้วฟิลเลอร์คืออะไรกันแน่? แท้จริงแล้ว ฟิลเลอร์เปรียบเสมือน สารเติมเต็มผิว ที่ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาผิวพรรณต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอย ร่องลึก หรือการสูญเสียปริมาตรของผิวหนังตามวัย โดยมีส่วนประกอบหลักคือ Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่พบได้ในร่างกายของเราเอง ทำหน้าที่ในการกักเก็บน้ำและมอบความชุ่มชื้นให้กับผิว เมื่อถูกฉีดเข้าไปยังบริเวณที่ต้องการ ฟิลเลอร์จะช่วยเติมเต็มช่องว่าง ยกกระชับ และปรับรูปทรงให้ผิวดูอิ่มเอิบ สดใส และอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ”
ประเภทของฟิลเลอร์
- Hyaluronic Acid (HA) ฟิลเลอร์: เป็นประเภทที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากเป็นสารธรรมชาติที่มีอยู่ในร่างกายของเรา มีความปลอดภัยสูง สามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ มักมีระยะเวลาคงอยู่ประมาณ 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดและบริเวณที่ฉีด
- Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ฟิลเลอร์: เป็นสารสังเคราะห์ที่มีลักษณะคล้ายกับแร่ธาตุที่พบในกระดูกของเรา นอกจากจะช่วยเติมเต็มแล้ว ยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังได้ด้วย มักมีระยะเวลาคงอยู่ประมาณ 12-18 เดือน
- Poly-L-lactic Acid (PLLA) ฟิลเลอร์: เป็นสารสังเคราะห์ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ผลลัพธ์จะไม่เห็นผลทันที แต่จะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อคอลลาเจนถูกสร้างขึ้น มักมีระยะเวลาคงอยู่ค่อนข้างนาน ประมาณ 1-2 ปี
- Polymethylmethacrylate (PMMA) ฟิลเลอร์: เป็นฟิลเลอร์ชนิดถาวร มีลักษณะเป็นลูกบอลขนาดเล็กๆ ที่อยู่ในคอลลาเจนเจล ไม่ค่อยนิยมใช้ในปัจจุบันเนื่องจากอาจมีผลข้างเคียงในระยะยาว
ฟิลเลอร์ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง
ฟิลเลอร์เป็นเหมือน “ตัวช่วยอเนกประสงค์” ในการปรับปรุงและแก้ไขปัญหาผิวพรรณบนใบหน้าได้หลากหลายเลยครับ หลักๆ แล้วจะเน้นไปที่การ เติมเต็ม และ ปรับรูปทรง เพื่อให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และสมดุลมากขึ้น โดยสามารถช่วยในเรื่องต่างๆ เหล่านี้ได้ครับ:
- ลดเลือนริ้วรอย: ฟิลเลอร์สามารถเติมเต็มริ้วรอยตื้นๆ ที่เกิดจากการแสดงสีหน้า หรือริ้วรอยที่เริ่มปรากฏตามวัยได้ดี เช่น
- ร่องแก้ม (Nasolabial folds): รอยพับจากปีกจมูกยาวลงมาถึงมุมปาก
- ร่องมุมปาก (Marionette lines): รอยย่นจากมุมปากลงมาถึงคาง
- ริ้วรอยใต้ตา (Tear troughs): รอยคล้ำและร่องลึกใต้ตา
- ริ้วรอยหน้าผากและระหว่างคิ้ว (Glabellar lines): ในบางกรณี ฟิลเลอร์สามารถช่วยลดเลือนริ้วรอยเหล่านี้ได้ แต่ส่วนใหญ่มักใช้โบท็อกซ์ร่วมด้วย
- เติมเต็มร่องลึก: สำหรับบริเวณที่มีการยุบตัวของเนื้อเยื่อ ทำให้เกิดเป็นร่องลึก ฟิลเลอร์จะเข้าไปเติมเต็มให้ผิวดูอิ่มเอิบและเรียบเนียนขึ้น
- เพิ่มปริมาตร: เมื่ออายุมากขึ้น ไขมันใต้ผิวหนังจะลดลง ทำให้บางบริเวณบนใบหน้าดูตอบลง ฟิลเลอร์สามารถช่วยเพิ่มปริมาตรในบริเวณเหล่านี้ได้ เช่น
- แก้ม: เติมแก้มที่ตอบให้ดูอิ่มเอิบ สดใส
- คาง: เติมคางที่สั้นหรือไม่ได้รูปให้ยาวและเรียวขึ้น
- ริมฝีปาก: เติมริมฝีปากให้ดูอวบอิ่ม มีvolume และปรับรูปทรงให้สวยงาม
- ขมับ: เติมเต็มขมับที่ยุบลงให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และสมดุล
- ปรับรูปหน้า: ฟิลเลอร์สามารถช่วยปรับสัดส่วนของใบหน้าให้สมดุลและได้รูปทรงมากขึ้น เช่น
- การปรับรูปหน้า V-Shape: เติมคางให้ยาวขึ้นและปรับให้กรอบหน้าคมชัดขึ้น
- การเติมเต็มให้ใบหน้าสมมาตร: แก้ไขความไม่สมดุลของใบหน้าในบางจุด
- เติมเต็มใต้ตาให้สดใส: การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะช่วยเติมเต็มร่องลึก ลดความหมองคล้ำ และทำให้ใต้ตาดูสดใส อ่อนเยาว์ขึ้น
- เสริมโหงวเฮ้ง: ในบางความเชื่อ การเติมเต็มบางบริเวณบนใบหน้าด้วยฟิลเลอร์ เช่น หน้าผาก คาง หรือโหนกแก้ม อาจช่วยเสริมโหงวเฮ้งให้ดีขึ้นได้

ฉีดฟิลเลอร์เจ็บไหม?
เรื่องความเจ็บจากการฉีดฟิลเลอร์ เป็นคำถามที่หลายๆ คนกังวลครับ โดยทั่วไปแล้ว การฉีดฟิลเลอร์จะรู้สึกเจ็บเล็กน้อยถึงปานกลาง ครับ แต่ความรู้สึกเจ็บนี้ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยครับ:
- บริเวณที่ฉีด: บริเวณที่มีเส้นประสาทเยอะๆ เช่น ริมฝีปาก หรือใต้ตา อาจจะรู้สึกเจ็บกว่าบริเวณอื่นๆ เช่น แก้ม หรือคางครับ
- ชนิดของฟิลเลอร์: ฟิลเลอร์บางชนิดอาจมีส่วนผสมของยาชา (เช่น Lidocaine) ซึ่งจะช่วยลดความรู้สึกเจ็บขณะฉีดได้ครับ
- เทคนิคการฉีดของแพทย์: แพทย์ที่มีความชำนาญและเทคนิคการฉีดที่ดี จะสามารถฉีดได้อย่างนุ่มนวลและลดความเจ็บปวดได้มากครับ
- ความทนทานต่อความเจ็บปวดของแต่ละบุคคล: แต่ละคนมีความรู้สึกไวต่อความเจ็บปวดไม่เท่ากัน บางคนอาจจะรู้สึกเจ็บน้อยมาก ในขณะที่บางคนอาจจะรู้สึกเจ็บมากกว่า
ข่าวดีก็คือ ในปัจจุบันมีวิธีต่างๆ ที่จะช่วยลดความรู้สึกไม่สบายขณะฉีดฟิลเลอร์ได้ครับ เช่น:
- ยาชาชนิดทา (Topical Anesthetic): จะทาบริเวณที่จะฉีดทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาทีก่อนทำการฉีด เพื่อให้ผิวหนังบริเวณนั้นชาลง
- ยาชาชนิดฉีด (Local Anesthetic): ในบางกรณี แพทย์อาจฉีดยาชาเฉพาะจุดบริเวณที่จะทำการฉีด เพื่อให้รู้สึกชาและไม่เจ็บเลยขณะฉีดฟิลเลอร์
- ฟิลเลอร์ที่มีส่วนผสมของยาชา: ฟิลเลอร์บางยี่ห้อมีการผสมยาชา Lidocaine มาในตัวผลิตภัณฑ์ ทำให้รู้สึกสบายขึ้นขณะฉีด
- การประคบเย็น: การประคบเย็นก่อนและหลังการฉีด สามารถช่วยลดความรู้สึกเจ็บและอาการบวมได้
ดังนั้น ถึงแม้การฉีดฟิลเลอร์อาจจะมีความรู้สึกเจ็บอยู่บ้าง แต่ก็เป็นความเจ็บในระดับที่ทนได้ และมีวิธีต่างๆ ที่จะช่วยบรรเทาความรู้สึกนี้ได้ครับ สิ่งสำคัญคือการเลือกคลินิกและแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อให้การฉีดเป็นไปอย่างนุ่มนวลและปลอดภัย
ฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหน
ระยะเวลาที่ฟิลเลอร์จะคงอยู่ได้นั้น ไม่แน่นอนและแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ครับ โดยทั่วไปแล้ว ฟิลเลอร์ที่มีส่วนประกอบหลักคือ Hyaluronic Acid (HA) จะอยู่ในผิวหนังได้นานประมาณ 6-18 เดือน ครับ แต่ก็มีปัจจัยหลายอย่างที่มีผลต่อระยะเวลาของฟิลเลอร์ ดังนี้ครับ:
1. ชนิดของฟิลเลอร์:
- ขนาดโมเลกุลและความหนาแน่น: ฟิลเลอร์ที่มีโมเลกุลใหญ่และมีความหนาแน่นสูง มักจะอยู่ได้นานกว่าฟิลเลอร์ที่มีโมเลกุลเล็กและเนื้อบางเบา
- เทคโนโลยีการผลิต: แต่ละยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์มีเทคโนโลยีการผลิตที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อความคงทนและการสลายตัวของฟิลเลอร์
- ส่วนประกอบ: ฟิลเลอร์ส่วนใหญ่เป็น HA แต่ก็มีบางชนิดที่ทำจากสารอื่นๆ เช่น Calcium Hydroxylapatite (CaHA) หรือ Poly-L-lactic Acid (PLLA) ซึ่งมีระยะเวลาการคงอยู่แตกต่างกันไป
ตัวอย่างระยะเวลาของฟิลเลอร์บางยี่ห้อ (โดยประมาณ):
- Restylane: 6-18 เดือน (ขึ้นอยู่กับรุ่น เช่น Vital Light สั้นกว่า Volyme หรือ Defyne)
- Juvederm: 6-24 เดือน (ขึ้นอยู่กับรุ่น เช่น Volite สั้นกว่า Voluma หรือ Volux)
- Belotero: 6-18 เดือน (ขึ้นอยู่กับรุ่น เช่น Revive สั้นกว่า Volume หรือ Intense)
- Definisse: 8-18 เดือน (ขึ้นอยู่กับรุ่น เช่น Touch สั้นกว่า Core)
2. บริเวณที่ฉีด:
- บริเวณที่มีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบ่อยๆ เช่น ริมฝีปาก หรือร่องแก้ม ฟิลเลอร์อาจจะสลายตัวได้เร็วกว่าบริเวณที่ไม่ค่อยมีการขยับ เช่น หน้าผาก หรือขมับ
- บริเวณที่มีการไหลเวียนของเลือดมาก ก็อาจทำให้ฟิลเลอร์สลายตัวเร็วขึ้น
3. เทคนิคการฉีดของแพทย์:
- แพทย์ที่มีความชำนาญและเทคนิคการฉีดที่ดี จะสามารถฉีดฟิลเลอร์ให้กระจายตัวได้เหมาะสมและอยู่ในชั้นผิวที่ถูกต้อง ซึ่งอาจส่งผลให้ฟิลเลอร์คงอยู่ได้นานขึ้น
4. การดูแลรักษาหลังฉีด:
- การหลีกเลี่ยงความร้อนจัด เช่น การทำเลเซอร์ ซาวน่า หรือการตากแดดเป็นเวลานาน
- การงดการนวดหรือกดบริเวณที่ฉีดแรงๆ ในช่วงแรก
- การดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อให้ฟิลเลอร์คงความชุ่มชื้นและอยู่ได้นานขึ้น
- การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจทำให้ฟิลเลอร์สลายเร็วขึ้น เช่น การสูบบุหรี่ หรือการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก
5. สภาพผิวและการเผาผลาญของแต่ละบุคคล:
- บางคนอาจมีการเผาผลาญที่เร็วกว่า ทำให้ฟิลเลอร์สลายตัวได้เร็วกว่า
- สภาพผิวและความชุ่มชื้นของผิวแต่ละคนก็มีผลต่อระยะเวลาของฟิลเลอร์เช่นกัน

ฉีดฟิลเลอร์มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?
การฉีดฟิลเลอร์โดยทั่วไปถือว่ามีความปลอดภัยครับ แต่ก็อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้บ้าง ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นอาการเล็กน้อยและหายได้เองภายในไม่กี่วันถึงหนึ่งสัปดาห์ครับ ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้มีดังนี้ครับ:
ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย (มักหายได้เอง):
- อาการบวม (Swelling): เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกหลังฉีด อาการบวมจะค่อยๆ ลดลง
- รอยแดง (Redness): ผิวหนังบริเวณที่ฉีดอาจมีรอยแดงเล็กน้อย ซึ่งจะจางหายไปเอง
- รอยช้ำ (Bruising): อาจเกิดขึ้นได้หากเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังได้รับการกระทบกระเทือนขณะฉีด รอยช้ำจะค่อยๆ เปลี่ยนสีและจางหายไปภายใน 1-2 สัปดาห์
- อาการปวดหรือรู้สึกไม่สบาย (Tenderness or Discomfort): อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อย หรือรู้สึกตึงๆ บริเวณที่ฉีด
- อาการคัน (Itching): บางคนอาจมีอาการคันเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด
- รู้สึกเป็นก้อนเล็กๆ (Temporary Lumps or Bumps): อาจรู้สึกถึงก้อนเล็กๆ ใต้ผิวหนัง ซึ่งส่วนใหญ่จะค่อยๆ เรียบเนียนไปเอง
ทั้งนี้ที่ อะกาลิโกคลินิค เรามีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ มีการติดตามผลการรักษา และให้ความรู้ลูกค้าหลังการฉีด ทำให้มั่นใจได้ว่าจะมีผลค้างเคียงน้อยที่สุด ปลอดภัย และเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
ใครบ้างที่ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์?
มีบุคคลบางกลุ่มที่ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ หรือควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจฉีด เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงหรือผลข้างเคียงมากกว่าคนทั่วไปครับ บุคคลที่ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ หรือควรระมัดระวังเป็นพิเศษ ได้แก่:
- ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร: ยังไม่มีข้อมูลความปลอดภัยที่เพียงพอสำหรับการฉีดฟิลเลอร์ในกลุ่มนี้ จึงควรงดเว้นเพื่อความปลอดภัยของทั้งคุณแม่และเด็ก
- ผู้ที่มีการติดเชื้อบริเวณที่จะฉีด: หากมีอาการอักเสบ ติดเชื้อ หรือเป็นโรคผิวหนังบริเวณที่จะทำการฉีด ควรรักษาให้หายดีก่อน
- ผู้ที่มีประวัติแพ้สารเติมเต็ม (Filler): หากเคยมีประวัติแพ้ฟิลเลอร์ชนิดใดชนิดหนึ่ง ควรหลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์ชนิดนั้นๆ และแจ้งให้แพทย์ทราบถึงประวัติการแพ้
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด: บางโรคประจำตัวอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงจากการฉีดฟิลเลอร์ เช่น
- โรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune diseases): เช่น โรค SLE, โรค Scleroderma ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคเหล่านี้ก่อน
- โรคที่มีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด: อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ
- โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้: อาจเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ
- ผู้ที่มีประวัติการเกิดแผลเป็นนูน (Keloid) ง่าย: อาจมีความเสี่ยงในการเกิดแผลเป็นนูนบริเวณที่ฉีดได้
- ผู้ที่กำลังรับประทานยาบางชนิด: เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulants), ยาแอสไพริน (Aspirin), หรือยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทำการฉีด
ต้องเตรียมตัวอย่างไรก่อนฉีดฟิลเลอร์?
การเตรียมตัวที่ดีก่อนฉีดฟิลเลอร์จะช่วยลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงและทำให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุดครับ นี่คือสิ่งที่ควรปฏิบัติก่อนเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์:
1 สัปดาห์ก่อนฉีด:
- งดยาบางชนิด: งดรับประทานยาในกลุ่มยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น Ibuprofen, Naproxen และยาแอสไพริน (Aspirin) รวมถึงวิตามินอี (Vitamin E) และน้ำมันปลา (Fish Oil) เนื่องจากสารเหล่านี้อาจทำให้เลือดออกง่ายขึ้นและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ
- ปรึกษาแพทย์: หากคุณมีโรคประจำตัว กำลังรับประทานยา หรือมีประวัติการแพ้ใดๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบล่วงหน้า เพื่อให้แพทย์ประเมินความเหมาะสมและให้คำแนะนำเพิ่มเติม
2-3 วันก่อนฉีด:
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: แอลกอฮอล์อาจทำให้เส้นเลือดขยายตัวและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ
- งดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีดมาก: ควรงดการออกกำลังกายอย่างหนัก หรือกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายมีความร้อนสูง เช่น การอบซาวน่า หรือการทำทรีตเมนต์ผิวหน้าบางชนิด
1 วันก่อนฉีด:
- พักผ่อนให้เพียงพอ: การพักผ่อนที่เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายพร้อมสำหรับการทำหัตถการและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ: การดื่มน้ำจะช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้น
วันนัดฉีด:
- หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าจัด: ควรมาคลินิกด้วยใบหน้าที่สะอาด ปราศจากเครื่องสำอาง โดยเฉพาะบริเวณที่จะทำการฉีด
- แจ้งข้อมูลสุขภาพอีกครั้ง: หากมีอาการผิดปกติ หรือมีการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทำการฉีด
ทราบข้อมูลเกี่ยวกับฟิลเลอร์กันไปแล้ว ถ้ายังมีข้อสงสัยอะไรเกี่ยวกับฟิลเลอร์ หรือสนใจฉีดฟิลเลอร์สามารถสอบถามเข้ามาได้ทาง อะกาลิโกคลินิค ได้เลยนะคะ
Recent Comments