พารู้จัก “Overfilled syndrome” เมื่อฉีดฟิลเลอร์บ่อยจนใบหน้าล้น
การฉีดฟิลเลอร์เป็นการเสริมความงามที่มีประสิทธิภาพและสามารถแก้ปัญหาเรื่องความต้องการทางใบหน้าได้อย่างตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นใต้ตา ริมฝีปาก กรอบหน้า คาง ขมับ และส่วนอื่น ๆบนในหน้า แต่อะไรที่มากเกินไปก็อาจจะทำให้ประสิทธิภาพของการฉีดฟิลเลอร์นั้นสร้างปัญหาให้คุณมากกว่าแก้
วันนี้ Agaligo พาคุณมาทำความรู้จักกับ Overfilled Syndrome หรืออาการ “หน้าล้น” ที่หลายคนชอบเรียก ซึ่งเป็นที่มาและผลเสียของการฉีดฟิลเลอร์เกินนั่นเองค่ะ
Overfilled syndrome ภาวะฟิลเลอร์ล้น นี้ถือเป็นอาการของผู้ที่ใช้สารฟิลเลอร์มากเกินความจำเป็น ส่งผลให้ใบหน้าเกิดบิดเบี้ยว ไม่สมส่วน และไม่เป็นธรรมชาติ อาการนี้มักพบในผู้ที่ไม่ค่อยพึงพอใจใบหน้าของตนเองหลังฉีดฟิลเลอร์ไปแล้ว และมองว่าหารฉีดฟิลเลอร์มากขึ้น หรือเติมเข้าไปเยอะ ๆ จะสามารถมอบผลลัพธ์ที่พึงพอใจให้ได้
อะไรเป็นสาเหตุให้เกิด Overfilled Syndrome ?
- ฉีดในปริมาณที่ไม่เหมาะสม หากคำนวณปริมาณผิดพลาดหรือฉีดมากเกินไป อาจทำให้บริเวณนั้นบวมเป่ง ดูไม่เป็นธรรมชาติ หรือเสียรูปทรงได้
- เลือกใช้สารเติมเต็มคุณภาพต่ำ การใช้สารที่ไม่ได้มาตรฐานหรือไม่ผ่านการรับรองอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น อาการแพ้หรือผลลัพธ์ที่ไม่คงทน
- ความคาดหวังผลลัพธ์ที่รวดเร็วจนเกินไป บางครั้งผู้รับบริการอยากเห็นผลทันทีและขอฉีดในปริมาณมากเกินไป ซึ่งอาจไม่เหมาะสม ควรอดทนรอให้สารเติมเต็มเข้าที่ตามระยะเวลาที่เหมาะสม และให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญประเมินก่อนตัดสินใจเติมเพิ่มในครั้งต่อไป
ผลเสียของการฉีดฟิลเลอร์เกิน
การฉีดฟิลเลอร์เยอะเกินไปอาจทำให้เราต้องเจอกับผลข้างเคียงมากมายทั้งในด้านสุขภาพของผิวหน้าและที่สำคัญคือภาพลักษณ์ แถมยังเสี่ยงต่ออันตรายทั้งบริเวณที่ฉีดและส่วนอื่น ๆ บนใบหน้าด้วย มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
- ใบหน้าดูแข็ง ไม่เป็นตัวเอง ถ้าฉีดฟิลเลอร์เยอะเกินไป ใบหน้าอาจดูตึง ๆ แข็ง ๆ ไม่เป็นธรรมชาติ แถมการยิ้มหรือแสดงสีหน้าก็ยากขึ้น ทำให้รู้สึกเหมือนเสียเสน่ห์ไปเลย
- ใบหน้าไม่เป๊ะ ดูไม่สมส่วน ถ้าฉีดบางจุดเยอะเกินความพอดี อาจทำให้หน้าดูบวม ๆ หรือแปลกไปจากเดิมได้นะคะ เช่น หน้าผากนูนเกิน ริมฝีปากหนาเกินเบอร์ หรือคางแหลมจนดูไม่น่ารักเลย
- ผิวไม่เรียบ มีก้อนใต้ผิว บางทีฟิลเลอร์ที่ฉีดอาจจับตัวเป็นก้อน มองเห็นชัดเจนใต้ผิว ทำให้ผิวดูขรุขระ ไม่เนียนใสอย่างที่ฝันไว้เลยค่ะ
- ใบหน้าเบี้ยว ไม่สมดุล ในกรณีที่รุนแรง ฟิลเลอร์อาจไปอุดตันหลอดเลือด ทำให้ผิวขาดเลือด ส่งผลให้หน้าเบี้ยวได้
การฉีดฟิลเลอร์ที่เหมาะสม ควรฉีดกี่ CC ?
โดยปกติการฉีดฟิลเลอร์แต่ละครั้ง เราจะสามารถรู้ได้ว่าควรฉีดกี่ CC นั้นขึ้นอยู่กับจุดที่ต้องการฉีด และตามสภาพและความเหมาะสมของใบหน้าที่ผ่านการประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นแต่ละบุคคลจึงจะใช้ปริมาณฟิลเลอร์แตกต่างกัน แต่หากแนะนำแบบกว้าง ๆ การฉีดฟิลเลอร์ที่พอดีกับแต่ละจุดในใบหน้าก็จะมีปริมาณที่พอดีกำหนดไว้คร่าว ๆ อยู่แล้ว
- บริเวณหน้าผาก 3-5 CC
- บริเวณขมับ 2-4 CC
- บริเวณใต้ตา 2-4 CC
- บริเวณร่องแก้ม 1-3 CC
- บริเวณ 1-2 CC
- ริมฝีปาก 1-2 CC
ทั้งนี้ อาจมากกว่านี้ในบางกรณี แต่ส่วนใหญ่จพอยู่ที่ปริมาณที่กล่าวมาโดยปกติ โดยที่ใบหน้าจะมีการเปลี่ยนแปลง และยังมีความสมส่วน ไม่ดูผิดปกติค่ะ

เช็กด่วน! 5 สัญญาณบอกว่าคุณกำลังเสี่ยง Overfilled Syndrome
ถ้าเริ่มสงสัยว่าใบหน้าดูแปลก ๆ หลังฉีดฟิลเลอร์ มาลองเช็กกันว่าคุณกำลังเข้าข่าย Overfilled Syndrome หรือเปล่า อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนที่บอกว่าเราฉีดฟิลเลอร์เยอะเกินไป
ใบหน้าดูตึงจนแข็ง
รู้สึกหน้าเหมือนจะยิ้มไม่ได้เต็มที่ แสดงอารมณ์ยาก หรือดูไม่เป็นธรรมชาติ เหมือนหน้าไม่ใช่หน้าเราค่ะ
บางส่วนบวมเกินจำเป็น
เช่น หน้าผากนูน ๆ ริมฝีปากหนาจนดูไม่สมส่วน หรือคางแหลมเกินจนคนทักว่าเปลี่ยนไป แบบนี้เริ่มไม่น่ารักแล้วนะ
ผิวไม่เนียน มีก้อนปูด
สังเกตเห็นผิวขรุขระ หรือคลำแล้วเจอก้อนแข็ง ๆ ใต้ผิวบริเวณที่ฉีด นี่คือสัญญาณว่าฟิลเลอร์อาจจับตัวกันค่ะ
หน้าเริ่มเสียสมดุล
บางทีหน้าเอียง ๆ หรือดูเบี้ยวเล็กน้อย โดยเฉพาะถ้ามีอาการเจ็บหรือชาในบางจุด อาจเป็นเพราะฟิลเลอร์ไปรบกวนหลอดเลือดได้เลยนะคะ
รู้สึกหนัก ๆ ที่ใบหน้า
ถ้าฉีดเยอะเกินไป อาจรู้สึกเหมือนใบหน้าหนัก ๆ ไม่สบายผิว แถมบางครั้งยังดูบวมตลอดเวลา แม้จะผ่านไปหลายวันแล้ว

วิธีแก้ไขหน้าล้นจากฟิลเลอร์ ทางเลือกเมื่อฉีดบ่อยเกินไป
ถ้าฉีดฟิลเลอร์แล้วรู้สึกว่าใบหน้าดูแปลก ๆ หรือมีปัญหา ไม่ต้องกังวลไปค่ะเพราะเรามีวิธีแก้ไขอยู่ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
ฉีดสลายฟิลเลอร์
วิธีนี้คุณหมอมักแนะนำเป็นอันดับแรกเลยค่ะ ถ้าฟิลเลอร์ที่ฉีดเป็นแบบ ไฮยาลูรอนิก แอซิด (HA) คุณหมอจะใช้เอนไซม์ที่ชื่อ ไฮยาลูรอนิเดส (Hyaluronidase) ฉีดเข้าไปเพื่อสลายฟิลเลอร์ จะค่อย ๆ ละลายฟิลเลอร์ให้หายไป ช่วยให้ผิวกลับมาเนียนใกล้เคียงเดิมมากที่สุด แต่ก่อนฉีด ต้องเล่าประวัติการฉีดฟิลเลอร์ให้คุณหมอฟังแบบละเอียดนะคะ เพื่อที่คุณหมอจะได้ใช้ยาในปริมาณที่พอดี ไม่กระทบผิวส่วนอื่น
ขูดฟิลเลอร์
ถ้าฟิลเลอร์ที่ฉีดไม่ใช่แบบ HA วิธีนี้จะเป็นตัวเลือกค่ะ แต่ต้องบอกก่อนว่า การขูดจะเอาฟิลเลอร์ออกได้ไม่หมด อาจจะแค่ประมาณ 60-70% เท่านั้น ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและฟิลเลอร์ที่ฉีดไปด้วยนะ
ผ่าตัด
วิธีนี้เหมาะกับกรณีที่หนักหน่อย เช่น ฉีด ซิลิโคนเหลว หรือฟิลเลอร์ที่กลายเป็นก้อนแข็ง ๆ หรือกลายเป็นพังผืดไปแล้ว คุณหมอจะผ่าตัดเพื่อเอามันออก แต่ก็อาจจะเอาออกได้ไม่ 100% นะคะ เพราะต้องระวังไม่ให้กระทบเส้นประสาทหรือเส้นเลือดสำคัญ
ทั้งนี้สำหรับใครที่ยังไม่มั่นใจว่าควรแก้ไขอย่างไรได้บ้าง การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็เป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญ เพราะขั้นตอนเหล่านี้มักจะขึ้นอยู่กับส่วนบุคคลบางคนอาจจะใช้วิธีการฉีดสบายไม่ได้ หรืออาจเหมาะกับแนวทางอื่น ๆ ฉะนั้นแนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอนะคะ
คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์บ่อย
Q: ฉีดฟิลเลอร์บ่อยแค่ไหนถึงเรียกว่าเกินขนาด?
A: ไม่ควรฉีดบ่อยกว่า ทุก 6-12 เดือน สำหรับจุดเดียวกัน
Q: ฟิลเลอร์แบบไหนเสี่ยง Overfilled Syndrome มากที่สุด?
A: ฟิลเลอร์ราคาถูกหรือไม่ได้มาตรฐาน และการฉีดปริมาณมากในครั้งเดียว
แต่สิ่งที่ควรระวังอีกอย่างคือเทคนิคของแพทย์ในการฉีด เพราะหากไม่มีประสบการณ์อาจเกิดความผิดพลาดแม้จะเป็นฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน
Q: หากมีอาการ Overfilled Syndrome ต้องแก้ไขอย่างไร?
A: ควรพบแพทย์เพื่อสลายฟิลเลอร์หรือผ่าตัดเอาก้อนออก
อ้างอิง
https://s45clinic.com/facial-overfilled-syndrome/
Recent Comments