ภาวะตาบอดจากการฉีดสารเติมเต็ม กรณีศึกษาจากอินฟลูเอนเซอร์
ในช่วงที่ผ่านมา วงการความงามต้องเผชิญกับกระแสข่าวที่สร้างความตื่นตระหนกและข้อถกเถียงอย่างกว้างขวาง จากกรณีของอินฟลูเอนเซอร์ชาวต่างชาติ ที่เข้ารับบริการฉีดสารเติมเต็ม (ซึ่งคาดว่าเป็นสารประเภท Biostimulator) แล้วเกิดภาวะตาบอดถาวร ซึ่งถือเป็นหนึ่งในภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงที่สุดจากการฉีดฟิลเลอร์หรือสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่บริเวณใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณรอบดวงตา หน้าผาก หรือจมูก
สารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนคืออะไร?
- สารประเภท Biostimulator หรือสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ โดยมักจะใช้ในกระบวนการฟื้นฟูสภาพผิวให้เต่งตึง กระชับ และดูอ่อนเยาว์ขึ้น โดยสารที่นิยมใช้ในกลุ่มนี้ ได้แก่
- • Poly-L-Lactic Acid (PLLA)
- • Calcium Hydroxylapatite (CaHA)
- • Polycaprolactone (PCL)
สารเหล่านี้แตกต่างจากฟิลเลอร์แบบไฮยาลูโรนิคแอซิด (HA) ตรงที่ไม่ให้ผลลัพธ์ทันที แต่จะค่อยๆ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว ซึ่งแม้ว่าจะมีข้อดีด้านความยาวนานของผลลัพธ์ แต่ก็มีความเสี่ยงที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะในเรื่องของการอุดตันของเส้นเลือด
ทำไมการฉีดสารเติมเต็มถึงเสี่ยงต่อการตาบอด?
ภาวะตาบอดจากการฉีดฟิลเลอร์หรือสารเติมเต็มมักเกิดจากการที่เข็มฉีดพลาดเข้าไปในหลอดเลือดแดง ซึ่งเชื่อมต่อโดยตรงกับหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงดวงตา เช่น ophthalmic artery หรือ supraorbital artery หากมีสารเข้าสู่หลอดเลือดดังกล่าว อาจทำให้เกิดการอุดตันและขาดเลือดไปเลี้ยงลูกตา ส่งผลให้เกิดภาวะตาบอดถาวรภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที
ดังนั้น การเลือกสถานบริการที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงการใช้เทคนิคที่ถูกต้อง มีความรู้เกี่ยวกับกายวิภาคใบหน้าและการใช้เครื่องมือที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ทางเลือกในการดูแลผิวที่ปลอดภัยและไม่มีความเสี่ยงต่อการอุดตันของเส้นเลือด
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย และต้องการดูแลผิวให้กระชับ อ่อนเยาว์ แต่รู้สึกกังวลกับความเสี่ยงจากการฉีดสารเติมเต็ม บทความนี้ขอแนะนำทางเลือกอื่น ๆ ที่สามารถช่วยดูแลผิวได้อย่างปลอดภัย และมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
1. เทคโนโลยียกกระชับด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย
ในปัจจุบัน มีเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาเพื่อใช้กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังโดยไม่ต้องใช้เข็ม และไม่มีความเสี่ยงต่อเส้นเลือดอุดตัน ได้แก่
• Ultrasound
เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงในการกระตุ้นชั้น SMAS (ชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ดึงในเวลาทำเฟซลิฟต์) ให้เกิดการหดตัวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่
• Monopolar RF
เป็นคลื่นวิทยุความถี่สูงที่ส่งพลังงานลึกถึงชั้นไขมันและคอลลาเจน ทำให้ผิวตึงขึ้นทันทีและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนต่อเนื่องในระยะยาว
ทั้งสองเทคโนโลยีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง และต้องการผลลัพธ์ที่ปลอดภัย โดยไม่ต้องฉีดสารใดๆ เข้าสู่ร่างกาย
2. ร้อยไหมกระตุ้นคอลลาเจน (Thread Lift)
อีกหนึ่งทางเลือกที่มีความปลอดภัยสูง คือการใช้เทคนิค ร้อยไหมละลาย ซึ่งไหมที่ใช้มักจะผลิตจากวัสดุที่สามารถย่อยสลายได้ในร่างกาย เช่น
• PDO (Polydioxanone)
• PLLA (Poly-L-lactic acid)
• PCL (Polycaprolactone)
ไหมเหล่านี้จะช่วยพยุงผิวให้กระชับขึ้นทันทีหลังทำ และยังสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาวอีกด้วย ที่สำคัญ คือไหมชนิดนี้ไม่สามารถเข้าสู่เส้นเลือดขนาดใหญ่ได้ จึงแทบไม่มีความเสี่ยงต่อภาวะตาบอดหากทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
3. การฉีด Hyaluronic Acid แบบ Non-crosslinked
ไฮยาลูโรนิกแอซิด (HA) เป็นสารที่ร่างกายสามารถย่อยสลายได้ และมีการใช้อย่างแพร่หลายในการเติมเต็มผิวบริเวณต่าง ๆ รวมถึงรอบดวงตา โดย HA แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ
• Crosslinked HA: หนืดและอยู่ได้นาน เหมาะกับการเติมเต็มในชั้นลึก
• Non-crosslinked HA: มีความหนืดต่ำ ซึมเข้าสู่ผิวได้ดี เหมาะสำหรับใช้ในบริเวณที่ผิวบาง เช่น ใต้ตา
แม้ว่า HA แบบ non-crosslinked จะมีอายุการใช้งานสั้นกว่าชนิด crosslinked แต่ข้อดีคือความปลอดภัยสูง สามารถย่อยสลายได้รวดเร็ว และไม่ก่อให้เกิดการอุดตันเส้นเลือด
บทสรุป อินฟลูเอนเซอร์ตาบอดจากการฉีดสารเติมเต็ม
กรณีของอินฟลูเอนเซอร์ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากการฉีดสารเติมเต็มตอกย้ำให้เราเห็นว่า ความสวยไม่ควรต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงต่อสุขภาพหรือการสูญเสียอย่างถาวร การเลือกวิธีดูแลผิวอย่างปลอดภัย โดยปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเข้าใจความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง
สำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้กระชับ อ่อนเยาว์ ทางเลือกอย่างเทคโนโลยี RF, Ultrasound, ร้อยไหม หรือการใช้ HA แบบปลอดภัย ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ โดยไม่ต้องกังวลกับผลข้างเคียงที่รุนแรง
เพราะความสวยควรอยู่บนพื้นฐานของความปลอดภัยเสมอ
บทความ โดย แพทย์หญิงเบญจรมย์ ไกรฤกษ์
Recent Comments