Overfilled Syndrome คืออะไร

Overfilled Syndrome เป็นภาวะที่คนไข้ได้รับสารเติมเต็ม หรือฟิลเลอร์เข้าไปในชั้นใต้ผิวมากเกินความจำเป็น ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุจากการไม่พอใจในผลลัพธ์ที่ได้จนไปฉีดซ้ำเกินความจำเป็น ความผิดพลาดในการคำนวณปริมาณสารเติมเต็ม หรือฟิลเลอร์ไม่ได้มาตรฐาน จนส่งผลให้ใบหน้าบริเวณนั้นเป่งผิดรูป ผิดสัดส่วน ขาดความเป็นธรรมชาติ โดยความผิดธรรมชาตินี้ ส่วนใหญ่มักมีลักษณะอาการคล้าย ๆ กัน คือ

  • หน้าผากโหนกนูนมาก เห็นเป็นก้อนออกมา
  • โหนกแก้มแน่นเป็นลูก แก้มยกสูงจนทำให้ดวงตาหรี่เล็กลง
  • ปีกจมูกถูกดันออก เพราะหน้าเต็มจนแน่น
  • ปากหนาใหญ่จนผิดธรรมชาติ
  • คางแหลมเหมือนแม่มด

การปรับรูปหน้าแบบไหนที่เหมาะกับเรา

รู้ไหมว่านอกจากการฉีดฟิลเลอร์ ยังมีวิธีปรับรูปหน้าด้วยหัตถการอื่น ๆ ด้วย ใครที่อยากรู้ว่ารูปหน้าแบบนี้ควรปรับรูปหน้าด้วยวิธีไหน มาดูตัวอย่างการปรับรูปหน้าแต่ละแบบไปพร้อม ๆ กันได้ดังนี้

  • การฉีดฟิลเลอร์  เป็นการฉีดสารเติมเต็มที่มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) เข้าไปในชั้นผิวหนัง เพื่อเติมเต็มร่องริ้วรอยต่าง ๆ ปรับโครงหน้าให้ดูสวยอย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่อยากแก้ไขบริเวณต่าง ๆ ของใบหน้าให้สมดุลขึ้น รวมไปถึงผู้มีริ้วรอยกวนใจ
  • การร้อยไหม เป็นการยกกระชับผิว ปรับรูปหน้าด้วยการใช้เส้นไหมขนาดเล็กยกกระชับผิวบริเวณใบหน้า และลำคอขึ้นมาให้อยู่ในทรงที่สวยงามเป็นธรรมชาติ เก็บรายละเอียดได้ดี เหมาะสำหรับผู้ที่มีใบหน้าหย่อนคล้อยมาก และมีเนื้อเยอะ
  • การฉีดโบท็อก เป็นการฉีดโบท็อกเข้าไปเพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณนั้นลงชั่วคราว ส่งผลให้ใบหน้าเล็ก ดูเป็นทรงสวยมากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดขนาดกรามเพื่อให้หน้าดูเรียวขึ้น 
  • Hifu เป็นการปรับรูปหน้าด้วยการใช้คลื่นพลังงาน Ultrasound เพื่อกระตุ้นคอลลาเจน และอิลาสตินในการยกกระชับผิว เหมาะสำหรับคนที่มีผิวหย่อนคล้อยในระยะเริ่มต้น และอยากให้กรอบหน้าดูชัดขึ้น
  • Thermatrix ยกกระชับผิวด้วยคลื่นวิทยุขั้วเดี่ยว monopolar rf เพื่อลดเลือนริ้วรอยกวนใจต่าง ๆ รวมไปถึงกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ให้กับเซลล์ผิว ในขณะที่สลายไขมันส่วนเกินบนใบหน้าไปด้วย
  • Ulthera เป็นการใช้พลังงาน Ultrasound ในการยกกระชับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย และอยากกระชับรูปหน้าโดยเฉพาะ แต่ไม่เหมาะสำหรับผู้มีเนื้อเยอะ

วิธีแก้ไข Overfilled Syndrome

เรารู้ความหมายกันไปแล้วว่า Overfilled Syndrome คือ อะไร ต่อไปเรามาดูวิธีแก้ไขกันบ้างดีกว่า ถึงแม้การฉีดฟิลเลอร์เยอะจนล้นจะดูอันตราย แต่ก็ยังสามารถแก้ไขได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของสารเติมเต็มที่ฉีดเข้าไป รวมไปถึงปริมาณ และตำแหน่งที่ฉีดร่วมด้วย คนไข้ควรพิจารณาเลือกคลินิก หรือสถานพยาบาลที่มีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย และรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางเท่านั้นเพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด

  • ฉีดสลายฟิลเลอร์ ถ้าคนไข้ฉีดสารเติมเต็มประเภทกรดไฮยาลูรอนิกเข้าไป สามารถใช้สารเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyarulonidase :HYAL) ฉีดเข้าไปเพื่อสลายฟิลเลอร์ได้ โดยแพทย์จะคำนวณปริมาณตัวยาที่ใช้ตามปริมาณฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไป หลังฉีดแล้วจะเห็นผลทันทีในบางส่วน และจะสลายหมดประมาณ 1-3 วัน หากต้องการฉีดฟิลเลอร์ใหม่ต้องเว้นระยะไปประมาณ 1 สัปดาห์จึงจะฉีดได้
  • การขูดฟิลเลอร์ออก ในกรณีที่สารเติมเต็มไม่ใช่ประเภทกรดไฮยาลูรอนิก แพทย์อาจพิจารณาให้ขูดฟิลเลอร์ออก เพราะสารนั้นไม่สามารถสลายเองได้ และหลังขูดแล้วฟิลเลอร์อาจออกได้แค่บางส่วน ไม่หมด 100%
  • การผ่าตัด หากคนไข้ฉีดฟิลเลอร์ไปเป็นเวลานานจนมีพังผืดเกาะ หรือฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปเป็นประเภทซิลิโคนเหลว แพทย์อาจวินิจฉัยให้ผ่าตัดออกเพื่อความปลอดภัย แต่ถ้าเป็นเคสที่มีความละเอียดอ่อน และซับซ้อนสูง อาจต้องปรึกษาศัลยแพทย์ต่อเพื่อความปลอดภัย

เลือกฟิลเลอร์อย่างไรจึงจะปลอดภัย ควรฉีดที่ไหน

เพราะการฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการด้านความงามได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน ฟิลเลอร์ที่เราพบเห็นกันจึงมีหลากหลายประเภท และยี่ห้อ การเลือกฟิลเลอร์อย่างชาญฉลาดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราไม่ควรมองข้าม โดยเรามีหลักในการพิจารณาเลือกฟิลเลอร์มาแนะนำ ดังนี้

  • เลือกฟิลเลอร์ยี่ห้อที่ผ่านการรับรองจาก อย. ประเทศไทยเท่านั้น สามารถตรวจสอบเลขล็อตได้ มีฉลากภาษาไทยระบุรายละเอียดชัดเจน มีราคา และวันหมดอายุกำกับ
  • เนื้อฟิลเลอร์ควรมีส่วนผสมจาก Hyaluronic Acid ซึ่งเป็นสารที่มีความปลอดภัยสูง เพราะร่างกายสามารถผลิตได้เอง และสลายเองได้ตามธรรมชาติ 100%

ป้องกัน Overfilled Syndrome อย่างไร?

นอกจากการทำการบ้านเกี่ยวกับยี่ห้อฟิลเลอร์ และรุ่นที่จะใช้แล้ว เรามีข้อแนะนำอื่น ๆ เพื่อให้พิจารณาร่วมด้วย ดังนี้

  • เลือกฉีดฟิลเลอร์ที่คลินิก หรือสถานพยาบาลที่มีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย มีเลขที่ใบอนุญาต 11 หลัก ติดไว้หน้าคลิกที่เห็นได้ชัดเจน มีแพทย์พร้อมใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมประจำที่คลินิก คลินิกมีความสะอาดเรียบร้อย เครื่องมือทันสมัย ไม่เสื่อมสภาพ และมีราคาหัตถการต่าง ๆ ติดอยู่อย่างชัดเจน
  • ควรตรวจสอบแพทย์ที่จะมาทำหัตถการก่อนตัดสินใจทุกครั้ง โดยแพทย์ควรมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม หรือจบเฉพาะทางด้านความงาม และผิวหนัง หรือศาสตร์ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น เพื่อให้มั่นใจว่าแพทย์มีความรู้ความเชี่ยวชาญ รวมไปถึงมีประสบการณ์มากเพียงพอ 

ไม่ควรให้แพทย์ด้านอื่น หรือพยาบาลมาทำหัตถการให้ เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าคนเหล่านั้นมีความเชี่ยวชาญมากน้อยเพียงใด พึงระลึกไว้เสมอว่าหากตัดสินใจพลาดเพียงครั้งเดียว อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตได้เช่นกัน

วิธีดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์

  • หากมีอาการปวด สามารถกินยาแก้ปวดได้
  • ประคบเย็นบริเวณที่ฉีดหลังผ่านไป 6 ชั่วโมง เพื่อลดอาการบวม
  • ในช่วง 3 วันแรก หลีกเลี่ยงการขยับใบหน้ามากเกินไป และไม่ควรสัมผัสใบหน้าแรง ๆ เพราะอาจทำให้ผิดรูปได้
  • นอนตะแคง นอนหงายได้ตามปกติ แต่ระวังการกดทับบริเวณที่ฉีดในช่วง 2 สัปดาห์แรก
  • ทาครีมกันแดดอย่างต่อเนื่อง
  • ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวัน เพื่อให้ฟิลเลอร์ฟู อยู่ได้นานขึ้น
  • หากพบอาการผิดปกติ หรือระคายเคืองมาก รีบมาพบแพทย์ทันที

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Overfilled Syndrome

1. Overfilled Syndrome คืออะไร?

ภาวะหน้าล้น (Overfilled Syndrome) คือภาวะที่ใบหน้าดูบวม ผิดรูป ไม่เป็นธรรมชาติจากการฉีดสารเติมเต็ม (Filler) มากเกินไป หรือฉีดในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ใบหน้าดูใหญ่ ตึง และอาจมีลักษณะที่ไม่พึงประสงค์ เช่น หน้าผากโหนกนูนเกินไป หรือแก้มดูแน่นผิดปกติ การรักษาหลักคือการฉีดสลายฟิลเลอร์ด้วยเอนไซม์ (ในกรณีของ Hyaluronic Acid Filler)

2. ภาวะ Overfilled Syndrome อันตรายไหม?

ภาวะ Overfilled Syndrome โดยตรงอาจไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ส่งผลต่อความมั่นใจและบุคลิกภาพอย่างมาก นอกจากนี้ การฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่ถูกต้องอาจนำไปสู่ผลข้างเคียง เช่น การอักเสบ ติดเชื้อ ผิวหนังเป็นก้อน หรือฟิลเลอร์เคลื่อนที่ได้ การแก้ไขภาวะนี้อาจต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

3. วิธีแก้ไข Overfilled Syndrome มีอะไรบ้าง?

การแก้ไข Overfilled Syndrome หลักๆ คือ การฉีดสลายฟิลเลอร์ด้วยเอนไซม์ Hyaluronidase (สำหรับฟิลเลอร์ชนิด Hyaluronic Acid) เพื่อให้ฟิลเลอร์สลายตัวและใบหน้ากลับสู่สภาพเดิม ในบางกรณีอาจต้องมีการฉีดสลายหลายครั้ง หรือหากเป็นฟิลเลอร์ชนิดอื่น อาจต้องใช้วิธีการผ่าตัดเพื่อนำออก

4. ฟิลเลอร์แบบไหนเสี่ยง Overfilled Syndrome บ่อยที่สุด?

ฟิลเลอร์ชนิด Hyaluronic Acid (HA) มีความเสี่ยงต่อภาวะ Overfilled Syndrome บ่อยที่สุด เนื่องจากเป็นฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมและมีการฉีดในปริมาณมาก เพื่อเติมเต็มและปรับรูปหน้าในหลายบริเวณ หากผู้รับบริการหรือแพทย์ไม่ระมัดระวังในการฉีด อาจทำให้เกิดภาวะหน้าล้นได้ง่าย อย่างไรก็ตาม ข้อดีคือ HA filler สามารถฉีดสลายได้ด้วยเอนไซม์ Hyaluronidase หากเกิดปัญหาขึ้น

5. ป้องกัน Overfilled Syndrome อย่างไร?

  • เลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์และเข้าใจโครงสร้างใบหน้าและน่าเชื่อถือ
  • ปริมาณฟิลเลอร์ต้องเหมาะสม อาจเริ่มจากน้อยๆ ก่อน และสามารถค่อยๆ เติมเพิ่มได้หากต้องการให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ
  • เลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน มั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ที่ใช้

6. Overfilled Syndrome หายเองได้ไหม?

ภาวะ Overfilled Syndrome ไม่สามารถหายเองได้ หากเกิดจากฟิลเลอร์ชนิดที่ไม่สลายตัวตามธรรมชาติ (เช่น ซิลิโคนเหลว หรือฟิลเลอร์ถาวรอื่นๆ) ฟิลเลอร์เหล่านี้จะคงอยู่ในผิวหนังอย่างถาวรและไม่สามารถถูกกำจัดออกได้ด้วยกระบวนการของร่างกาย

7. หลังแก้ไข Overfilled Syndrome ต้องรอนานไหมถึงฉีดฟิลเลอร์ใหม่?

ระยะเวลาที่ควรรอหลังการแก้ไข Overfilled Syndrome ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใหม่นั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย และควรปรึกษาแพทย์ผู้ทำการรักษาเพื่อประเมินเป็นรายบุคคล โดยทั่วไปมีแนวทางดังนี้:

  • หลังฉีดสลายฟิลเลอร์ (Hyaluronidase): ควรรออย่างน้อย 2 สัปดาห์ ถึง 1 เดือน เพื่อให้แน่ใจว่าฟิลเลอร์เดิมถูกสลายไปหมดแล้ว อาการบวมและรอยแดงจากการฉีดสลายลดลง และผิวหนังกลับสู่สภาพปกติ การรีบฉีดฟิลเลอร์ใหม่เร็วเกินไปอาจทำให้ประเมินผลลัพธ์ได้ยาก และอาจเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียง
  • หลังการผ่าตัดนำฟิลเลอร์ออก: ระยะเวลารอจะนานกว่า ขึ้นอยู่กับขนาดและตำแหน่งที่ผ่าตัด รวมถึงการหายของแผล โดยทั่วไปอาจต้องรอ 1-3 เดือน หรือนานกว่านั้น ตามดุลยพินิจของแพทย์ เพื่อให้แผลหายสนิทและเนื้อเยื่อฟื้นตัวเต็มที่

อ้างอิง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลวส่วนบบุคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

Save