ในปี 2025 นี้มีคำถามอะไรที่เราควรรู้บ้าง
ในปี 2025 นี้ การร้อยไหมยังเป็นหนึ่งในหัตถการที่นิยมมากที่สุด เรามาติดตามเทรนด์กันว่าการร้อยไหมในปีนี้ มีอะไรที่คนถามบ่อยและเราควรรู้เพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจทำหัตถการกันบ้าง
Q: ร้อยไหมสามารถทำร่วมกับการทำหัตถการอื่นๆ ได้หรือไม่ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด (เช่น ฟิลเลอร์ โบท็อกซ์ เลเซอร์)? และควรเรียงลำดับการทำอย่างไร?
การร้อยไหมสามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นๆ เช่น ฟิลเลอร์ โบท็อกซ์ และเลเซอร์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและครบวงจรเนื่องจากแต่ละหัตถการมีกลไกการออกฤทธิ์และเป้าหมายที่แตกต่างกัน การทำร่วมกันจึงช่วยเสริมผลลัพธ์ซึ่งกันและกันได้ดีมาก
ประโยชน์ของการทำร่วมกัน:
-
ร้อยไหม: เน้นการยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว และปรับโครงหน้าให้ดูเรียวขึ้น
-
ฟิลเลอร์ (Filler): เติมเต็มปริมาตรที่หายไป เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม ขมับ หรือปรับรูปหน้า เช่น คาง โหนกแก้ม ทำให้ใบหน้าดูอิ่มเอิบ อ่อนเยาว์
-
โบท็อกซ์ (Botox): ลดเลือนริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้า (Dynamic wrinkles) เช่น รอยย่นหน้าผาก ตีนกา รอยขมวดคิ้ว และช่วยปรับรูปหน้าบางส่วน เช่น กราม
-
เลเซอร์ (Laser): เน้นการปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน กระจ่างใส ลดรอยดำ รอยแดง กระ ฝ้า กระชับรูขุมขน และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นตื้น
ลำดับการทำหัตถการเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด:
โดยทั่วไปแล้ว ไม่มีกฎตายตัวที่แน่นอน 100% ว่าต้องทำอะไรก่อน-หลัง แต่มีหลักการที่แนะนำเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงลง ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้ประเมินและวางแผนให้เหมาะกับแต่ละบุคคล แต่โดยทั่วไป ลำดับที่มักแนะนำคือ:
โบท็อกซ์ (Botox):
-
-
ควรทำก่อน: ประมาณ 1-2 สัปดาห์ก่อนการร้อยไหมหรือฟิลเลอร์
-
เหตุผล: โบท็อกซ์จะออกฤทธิ์ลดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดริ้วรอย เมื่อกล้ามเนื้อคลายตัว จะช่วยให้การร้อยไหมหรือการเติมฟิลเลอร์ทำได้ง่ายขึ้น และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น นอกจากนี้ การฉีดโบท็อกซ์ก่อนจะช่วยลดการเคลื่อนไหวของใบหน้าในระยะแรก ซึ่งอาจส่งผลดีต่อการยึดเกาะของไหม
-
ร้อยไหม (Thread Lift):
-
- ควรทำหลังจากโบท็อกซ์: ประมาณ 1-2 สัปดาห์ หรือหากไม่ทำโบท็อกซ์ ก็สามารถทำได้เลย
- เหตุผล: การร้อยไหมเป็นการยกกระชับโครงสร้างผิวโดยรวม การทำก่อนฟิลเลอร์จะช่วยยกผิวที่หย่อนคล้อยขึ้นมา ทำให้การเติมฟิลเลอร์ในส่วนที่ยังขาดหายเป็นไปอย่างแม่นยำและใช้ปริมาณน้อยลง นอกจากนี้ การร้อยไหมอาจทำให้เกิดอาการบวมช้ำเล็กน้อย การทำก่อนฟิลเลอร์จะช่วยให้แพทย์ประเมินความต้องการในการเติมฟิลเลอร์ได้แม่นยำขึ้นเมื่ออาการบวมลดลง
ฟิลเลอร์ (Filler):
-
- ควรทำหลังจากร้อยไหม: ประมาณ 1-2 สัปดาห์ (หรือรอให้อาการบวมช้ำจากการร้อยไหมหายสนิท)
- เหตุผล: เมื่อโครงสร้างใบหน้าถูกยกกระชับด้วยการร้อยไหมแล้ว แพทย์จะสามารถประเมินได้อย่างแม่นยำว่าส่วนใดของใบหน้ายังต้องการการเติมเต็ม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์และเป็นธรรมชาติที่สุด การเติมฟิลเลอร์หลังจากที่ผิวถูกยกกระชับแล้วจะช่วยให้ดูมีมิติและกลมกลืนมากขึ้น
เลเซอร์ (Laser) หรือหัตถการที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน (Energy-Based Devices):
-
- ควรทำหลังสุด: โดยปกติควรรอประมาณ 1-2 เดือนหลังจากการร้อยไหมและฉีดฟิลเลอร์ (ขึ้นอยู่กับชนิดของเลเซอร์และความลึก)
- เหตุผล: เลเซอร์บางชนิดที่ใช้ความร้อนสูง อาจส่งผลกระทบต่อไหมหรือฟิลเลอร์ได้ (โดยเฉพาะไหมที่ละลายช้า หรือฟิลเลอร์บางชนิด) การเว้นระยะห่างที่เพียงพอจะช่วยให้ไหมและฟิลเลอร์เข้าที่ และลดความเสี่ยงที่ผลลัพธ์จะเปลี่ยนแปลงไป
ข้อแนะนำ:
-
ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ: สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อให้แพทย์ประเมินสภาพผิว ปัญหาที่ต้องการแก้ไข และวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับคุณที่สุด
-
แจ้งประวัติการทำหัตถการทั้งหมด: แจ้งให้แพทย์ทราบถึงหัตถการที่คุณเคยทำมาแล้ว เพื่อให้แพทย์สามารถวางแผนได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
-
ระยะเวลาเว้นห่าง: ระยะเวลาเว้นห่างที่แนะนำเป็นเพียงแนวทางคร่าวๆ อาจมีการปรับเปลี่ยนได้ตามดุลยพินิจของแพทย์และชนิดของผลิตภัณฑ์ที่ใช้
การผสมผสานการรักษาเหล่านี้จะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ครอบคลุม ทั้งการยกกระชับ การเติมเต็ม และการปรับปรุงคุณภาพผิว ให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และสวยงามอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด

Q: หากเคยร้อยไหมมาแล้ว และผลลัพธ์เริ่มลดลง ควรทำซ้ำเมื่อไหร่ และมีวิธีประเมินอย่างไรว่าถึงเวลาแล้ว?
หากคุณเคยร้อยไหมมาแล้ว และสังเกตว่าผลลัพธ์เริ่มลดลง ไม่กระชับเหมือนเดิม หรือผิวกลับมาหย่อนคล้อยเล็กน้อย ก็เป็นสัญญาณว่าอาจถึงเวลาพิจารณาทำซ้ำแล้วครับ
ควรทำซ้ำเมื่อไหร่?
โดยทั่วไปแล้ว ผลลัพธ์ของการร้อยไหมจะอยู่ได้นานประมาณ 6 เดือนถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น:
-
ชนิดของไหม: ไหมแต่ละชนิดมีระยะเวลาการสลายตัวและการกระตุ้นคอลลาเจนที่แตกต่างกัน
-
จำนวนและเทคนิคการร้อย: จำนวนเส้นไหมและเทคนิคที่ใช้มีผลต่อความแข็งแรงของการยกกระชับ
-
สภาพผิวเดิมของแต่ละบุคคล: ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยมาก อาจเห็นผลลัพธ์ลดลงเร็วกว่า
-
การดูแลตัวเองหลังทำ: การดูแลผิวอย่างเหมาะสม การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำร้ายผิว (เช่น การขยับหน้าเยอะๆ, การนวดหน้าแรงๆ, การออกแดดจัด) จะช่วยยืดอายุผลลัพธ์ได้
-
อายุและกระบวนการเสื่อมสภาพของผิวตามธรรมชาติ: ผิวของเรายังคงมีกระบวนการเสื่อมสภาพไปตามวัย ทำให้ผลลัพธ์ค่อยๆ ลดลง
ดังนั้น ระยะเวลาที่เหมาะสมในการทำซ้ำจึงมักจะอยู่ประมาณ 1-2 ปีหลังจากทำครั้งแรก แต่ก็สามารถทำได้เร็วกว่าหรือช้ากว่านั้น ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์และสภาพผิวของคุณ
วิธีประเมินว่าถึงเวลาแล้วหรือยัง?
มีหลายวิธีที่คุณสามารถสังเกตและประเมินได้ด้วยตัวเองว่าถึงเวลาที่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาทำซ้ำแล้วหรือยัง:
สังเกตความหย่อนคล้อยของผิว:
-
-
ลองมองหน้าตรงในกระจก แล้วสังเกตว่ากรอบหน้าเริ่มไม่ชัดเหมือนเดิมหรือไม่
-
มีแก้มหย่อนคล้อยลงมาเล็กน้อย หรือมีร่องแก้ม ร่องน้ำหมากที่เคยตื้นขึ้นกลับมาชัดเจนขึ้นหรือไม่
-
ผิวบริเวณคางหรือใต้คางเริ่มหย่อนคล้อยลงมาหรือไม่ (เหนียง)
-
ความรู้สึกของผิว:
-
-
รู้สึกว่าผิวไม่ตึงกระชับเหมือนช่วงแรกที่ร้อยไหม
-
เมื่อลองสัมผัสผิว รู้สึกว่ามีความหย่อนคล้อยมากขึ้น
-
เปรียบเทียบกับรูปถ่าย: นำรูปถ่ายของคุณก่อนร้อยไหม, หลังร้อยไหมใหม่ๆ, และรูปถ่ายปัจจุบัน มาเปรียบเทียบกัน จะช่วยให้เห็นความเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนที่สุด
ความพึงพอใจส่วนบุคคล: หากคุณรู้สึกว่าผลลัพธ์ที่ได้ในปัจจุบันไม่เป็นที่น่าพอใจเหมือนช่วงแรกๆ ที่ทำ และอยากให้ใบหน้ากลับมาดูอ่อนเยาว์และกระชับอีกครั้ง ก็เป็นสัญญาณที่ดีที่จะปรึกษาแพทย์
สิ่งสำคัญที่สุด: ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
เมื่อคุณเริ่มสังเกตเห็นสัญญาณเหล่านี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการ นัดหมายเพื่อปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่ทำการร้อยไหมให้คุณ หรือแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านนี้
แพทย์จะทำการประเมินสภาพผิวของคุณอย่างละเอียด พิจารณาจาก:
-
ระดับความหย่อนคล้อยของผิวในปัจจุบัน
-
ชนิดและจำนวนของไหมที่เคยใช้ไป
-
ความต้องการและเป้าหมายของคุณ
-
สุขภาพโดยรวมของคุณ
จากนั้น แพทย์จะสามารถให้คำแนะนำที่เหมาะสมที่สุดว่าควรทำซ้ำเมื่อไหร่ ควรใช้ไหมชนิดใด จำนวนเท่าไหร่ หรืออาจแนะนำหัตถการอื่นๆ ที่เหมาะสมเพื่อเสริมผลลัพธ์ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

Q: ผลของการร้อยไหมอยู่ได้ 4-5 ปี หรือถาวรเลยหรือไม่
คำตอบคือไม่!! มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับผลลัพธ์ของการร้อยไหมกัน:
ไหมที่ใช้ในการร้อยส่วนใหญ่คือ “ไหมละลาย” (Absorbable Threads):
-
-
ไหมเหล่านี้มักจะผลิตจากวัสดุทางการแพทย์ที่สามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติในร่างกาย เช่น PDO (Polydioxanone), PLLA (Poly-L-lactic Acid) หรือ PCL (Polycaprolactone)
-
กระบวนการสลายตัวจะใช้เวลาแตกต่างกันไปตามชนิดของไหม โดยทั่วไปไหมจะสลายตัวหมดภายใน ประมาณ 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของไหม
-
ผลลัพธ์ที่เกิดจากการร้อยไหมมาจาก 2 ส่วนหลัก:
-
-
การยกกระชับทันที (Immediate Lift): เกิดจากการที่แพทย์ร้อยไหมที่มีเงี่ยงหรือปมไปเกี่ยวและดึงเนื้อเยื่อผิวหนังขึ้นมา ผลลัพธ์ส่วนนี้จะเห็นได้ชัดเจนหลังทำ
-
การกระตุ้นคอลลาเจน (Collagen Stimulation): เมื่อไหมสลายตัว ร่างกายจะเกิดปฏิกิริยาตอบสนอง สร้างพังผืดและคอลลาเจนใหม่ขึ้นมาห่อหุ้มบริเวณที่ไหมเคยอยู่ ทำให้ผิวบริเวณนั้นมีความแข็งแรง ยืดหยุ่น และกระชับขึ้น นี่คือเหตุผลที่แม้ไหมจะสลายไปแล้ว แต่ผลลัพธ์บางส่วนยังคงอยู่ได้ระยะหนึ่ง
-
ระยะเวลาของผลลัพธ์:
-
-
โดยเฉลี่ยแล้ว ผลลัพธ์ของการร้อยไหมจะอยู่ได้ประมาณ 1-2 ปี (หรือบางกรณีอาจจะสั้นลงกว่า 1 ปี หรือนานกว่า 2 ปีเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับปัจจัยเฉพาะบุคคล)
-
ผลลัพธ์ที่เห็นในช่วง 1-2 ปีนี้เป็นผลรวมจากการยกกระชับในช่วงแรกและการกระตุ้นคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง
-
เมื่อเวลาผ่านไปคอลลาเจนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ก็จะมีการเสื่อมสลายไปตามธรรมชาติของวัย และผิวก็จะกลับมาหย่อนคล้อยอีกครั้ง
-
ทำไมถึงไม่ถาวร?
-
-
ไหมละลาย: ตราบใดที่ไหมที่ใช้ยังเป็นไหมละลาย ผลลัพธ์จากการดึงรั้งของไหมย่อมไม่ถาวร
-
กระบวนการชราตามธรรมชาติ: ร่างกายของเรายังคงมีกระบวนการเสื่อมสภาพตามวัยอยู่ตลอดเวลา คอลลาเจนและอีลาสตินในผิวจะลดลงต่อเนื่อง แรงโน้มถ่วงก็ยังคงดึงผิวให้หย่อนคล้อยลง ดังนั้น ไม่มีหัตถการใดๆ ที่สามารถหยุดยั้งกระบวนการชราได้ถาวร
-
สรุป:
คำกล่าวที่ว่าร้อยไหมอยู่ได้ 4-5 ปี หรือถาวรนั้น เป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนและไม่ถูกต้อง ครับ โดยทั่วไปผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 1-2 ปี และจำเป็นต้องมีการทำซ้ำเพื่อคงสภาพความกระชับไว้ หากต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนานหรือถาวร อาจจะต้องพิจารณาหัตถการทางการแพทย์อื่นๆ ที่มีวัตถุประสงค์และกลไกการทำงานที่แตกต่างออกไป เช่น การผ่าตัดดึงหน้า (Facelift Surgery) ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่ามาก แต่ก็มีค่าใช้จ่าย ความเสี่ยง และระยะเวลาพักฟื้นที่สูงกว่าการร้อยไหมอย่างเห็นได้ชัด

Q: มีข้อแนะนำหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ช่วยยืดอายุผลลัพธ์หรือไม่?
การดูแลตัวเองหลังร้อยไหมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยลดผลข้างเคียงและ ยืดอายุผลลัพธ์ ให้คงอยู่ได้นานที่สุด โดยในปี 2025 นี้ แม้หลักการดูแลพื้นฐานจะยังคงเดิม แต่ก็มีแนวโน้มและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เข้ามาเสริมประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้ครับ
หลักการดูแลตัวเองพื้นฐานหลังร้อยไหม (ยังคงสำคัญในปี 2025):
- ประคบเย็น: ใน 24-48 ชั่วโมงแรก เพื่อลดอาการบวม ช้ำ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัส/กด/นวดแรงๆ: บริเวณที่ร้อยไหม ประมาณ 2-4 สัปดาห์แรก เพื่อให้ไหมเข้าที่และลดโอกาสไหมเคลื่อน
- นอนหงาย: งดนอนคว่ำหรือนอนตะแคง อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการกดทับใบหน้า
- หลีกเลี่ยงการแสดงสีหน้ากว้างๆ: เช่น อ้าปากกว้างๆ หัวเราะเสียงดัง หาวแรงๆ ประมาณ 1-2 สัปดาห์แรก
- งดทำกิจกรรมที่กระทบกระเทือนใบหน้า: เช่น การออกกำลังกายหนักๆ การเข้าซาวน่า/อบไอน้ำ การว่ายน้ำ ประมาณ 2 สัปดาห์
ผู้คนจะให้ความสำคัญกับการดูแลแบบองค์รวม (Holistic Approach) และมองหาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเสริมการสร้างคอลลาเจนและปกป้องผิวมากขึ้น:
1.ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เน้นการกระตุ้นคอลลาเจน (Topical Collagen Stimulators):
-
-
เรตินอยด์ (Retinoids) หรือ Bakuchiol: การใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มวิตามินเอ หรือ Bakuchiol (ทางเลือกจากธรรมชาติสำหรับผิวแพ้ง่าย) อย่างสม่ำเสมอในระยะยาว จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ทำให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นขึ้น ซึ่งช่วยเสริมและยืดอายุผลลัพธ์ของการร้อยไหม
-
เปปไทด์ (Peptides) และ Growth Factors: เซรั่มที่มีส่วนผสมของเปปไทด์ชนิดต่างๆ หรือสารกลุ่ม Growth Factors จะช่วยส่งเสริมการซ่อมแซมผิวและกระตุ้นการสร้างโปรตีนสำคัญ เช่น คอลลาเจนและอีลาสติน
-
2.ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดการอักเสบและเสริมเกราะป้องกันผิว (Anti-inflammatory & Barrier Support):
-
-
เซราไมด์ (Ceramides), ไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid): มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง ลดการระคายเคืองและช่วยให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้น
-
สารสกัดจากพืชที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง (Potent Antioxidant Extracts): เช่น วิตามินซี, วิตามินอี, Ferulic Acid, Resveratrol ช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระที่ทำลายคอลลาเจน
-
3. เทคโนโลยีการนวดหน้าเบาๆ แบบ Home-Use Device:
-
- Microcurrent / Nano-current Devices: อุปกรณ์เหล่านี้จะมีการพัฒนาให้ใช้งานง่ายขึ้นและปลอดภัยสำหรับการใช้งานที่บ้าน โดยให้กระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ที่ช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อและเซลล์ผิว ทำให้ผิวกระชับขึ้นเล็กน้อยและช่วยเสริมการไหลเวียนโลหิต ซึ่งอาจมีส่วนช่วยในการบำรุงคอลลาเจนและรักษาสภาพผิว (ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ และหลีกเลี่ยงบริเวณที่ร้อยไหมในช่วงแรก)
- LED Light Therapy Devices: อุปกรณ์แสง LED ที่สามารถใช้ที่บ้านได้ โดยเฉพาะแสงสีแดง (Red Light) ที่เชื่อว่าช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและลดการอักเสบ
4.การดูแลผิวจากภายใน:
-
- คอลลาเจนเปปไทด์แบบรับประทาน: การบริโภคคอลลาเจนเปปไทด์คุณภาพดีอย่างสม่ำเสมอ อาจช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนในร่างกายได้
- สารต้านอนุมูลอิสระจากอาหาร: เน้นการรับประทานผักผลไม้หลากสี ธัญพืชไม่ขัดสี เพื่อให้ได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจนและการปกป้องผิว
5.การปรับไลฟ์สไตล์ที่ส่งผลต่อสุขภาพผิว:
-
- การจัดการความเครียด: ความเครียดเรื้อรังส่งผลให้ร่างกายผลิตคอร์ติซอล ซึ่งสามารถทำลายคอลลาเจนได้
- การนอนหลับเพียงพอ: ร่างกายจะซ่อมแซมและสร้างคอลลาเจนใหม่ในช่วงที่เรานอนหลับ
- การปกป้องผิวจากแสงแดด: ใช้ครีมกันแดดที่มี SPF สูง PA+++ ทุกวัน แม้อยู่ในที่ร่ม เพราะรังสียูวีคือตัวการสำคัญในการทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน
-
สิ่งสำคัญที่สุดคือการ ปรึกษาแพทย์ผู้ทำการรักษา เพื่อรับคำแนะนำที่เฉพาะเจาะจงกับสภาพผิวและชนิดของไหมที่คุณใช้ รวมถึงการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เสริมที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัยครับ
Recent Comments