เพราะ ฟิลเลอร์ เป็นหนึ่งในบริการความงามยอดนิยมอันดับต้น ๆ ของไทย จึงมีข้อควรรู้ที่เราจำเป็นต้องศึกษาค่อนข้างมาก ฉะนั้น ถ้าไม่อยากเสียเงินไปฟรี ๆ ควรทำความเข้าใจให้ดีก่อน จะได้เลือกฉีดฟิลเลอร์ให้ตอบโจทย์ตัวเรามากที่สุด
สังเกตไหมว่าโลกยุคใหม่ช่วงนี้มีบริการความงามเกิดขึ้นมามากมาย หนึ่งในนั้นคือ การฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในไทย สำหรับคนที่มีแผนว่าอยากไปฉีดฟิลเลอร์กับเขาดูบ้าง แต่ยังไม่มั่นใจว่าฟิลเลอร์จริง ๆ แล้วช่วยเรื่องอะไร ตรงกับปัญหาที่เราเจออยู่หรือเปล่า มีทั้งหมดกี่ยี่ห้อ เราควรฉีดกี่ cc มีข้อดีข้อเสียอะไรที่เราควรระวังบ้าง รวมไปถึงเราต้องปฏิบัติตัวอย่างไรหลังฉีดแล้ว เราจะพาทุกคนไปไขข้อข้องใจทั้งหมดที่กล่าวมากันในบทความนี้
ที่จริงแล้ว ฟิลเลอร์ (Filler) คืออะไรกันแน่ ?
ฟิลเลอร์ คือ การฉีดสารเติมเต็มชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติอุ้มน้ำเข้าไปในผิวหน้าของเราเพื่อทดแทนคอลลาเจนที่ร่างกายเสียไปเมื่ออายุเพิ่มขึ้น และช่วยแก้ปัญหากวนใจต่าง ๆ ให้หมดไป ไม่ว่าจะเป็นร่องรอยลึกตามจุดต่าง ๆ บนใบหน้า อาทิ ร่องแก้ม หน้าผาก ปาก ใต้ตา รวมไปถึงบริเวณขมับ ช่วยยกกระชับใบหน้าที่ดูหย่อนคล้อยให้กลับมาตึงกระชับ และยังช่วยปรับรูปหน้าให้เข้าที่สมส่วนมากยิ่งขึ้นได้อีกด้วย แต่ก็ไม่ใช่ว่าฟิลเลอร์ชนิดเดียว สามารถแก้ปัญหาได้ทุกจุด
อันที่จริงฟิลเลอร์มีหลากหลายประเภท ขึ้นอยู่กับส่วนประกอบภายใน ประเภทที่นิยมในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นการฉีดเพื่อเติมเต็ม และฟื้นฟู ที่เราเรียกกันว่า ฟิลเลอร์อ่อน หรือ ฟิลเลอร์ชั่วคราว มีส่วนประกอบหลักเป็น สารเติมเต็ม Hyaluronic acid (HA) ที่สลายเองได้ตามธรรมชาติ มีความปลอดภัยสูง และผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) ประเทศไทย
ทั้งนี้ หัวใจสำคัญของการฉีดฟิลเลอร์ นอกจากจะอยู่ที่การเลือกประเภทที่ตอบโจทย์แล้ว ยังอยู่ที่ความเชี่ยวชาญของแพทย์ด้วยเช่นกัน เพราะการฉีดฟิลเลอร์เปรียบเสมือนการปั้นรูปปั้น ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านค่อนข้างสูง ไม่ใช่ใครก็สามารถทำได้ ผู้ที่ฉีดฟิลเลอร์ต้องมีความรู้ความเข้าใจในสรีระของมนุษย์ รวมไปถึงเข้าใจโครงหน้าและรูปหน้าโดยรวมร่วมด้วย
ฟิลเลอร์ มีทั้งหมดกี่ประเภท
อย่างที่เรากล่าวไปว่าฟิลเลอร์ได้รับความนิยมสูงมาก จึงมีหลากหลายประเภทมากขึ้นตามไปด้วย แต่เราก็สามารถจัดกลุ่มแบ่งออกเป็นประเภทหลัก ๆ ได้ทั้งหมด 2 ประเภท ดังนี้
แบ่งตามระยะเวลาของฟิลเลอร์
- ฟิลเลอร์ชั่วคราว (Temporary Filler)
เป็นฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมมาก สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ เพราะมีส่วนผสมหลัก คือ Hyaluronic acid (HA) มีความปลอดภัยสูงเพราะเป็นฟิลเลอร์ชนิดเดียวที่ได้รับการรับรองจาก อย. ถึงแม้ฉีดไปแล้วจะอยู่ได้เพียง 6-24 เดือน (ขึ้นอยู่กับรุ่น และยี่ห้อ) แต่สามารถเติมใหม่ได้เรื่อย ๆ โดยไม่มีอันตราย เหมาะสำหรับคนที่อยากเติมเต็มร่องลึก หรือริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้า อาทิ ขมับ หน้าผาก ร่องแก้ม ใต้ตา และปาก เป็นต้น
- ฟิลเลอร์กึ่งถาวร (Semi-Permanent Filler)
เป็นฟิลเลอร์ที่สลายตามธรรมชาติได้แค่บางส่วน ไม่หมด 100% ถึงแม้จะมีใช้ที่ต่างประเทศ แต่ก็ยังนับว่ามีความปลอดภัยน้อยกว่าฟิลเลอร์แบบชั่วคราวอยู่ดี เพราะยังไม่ผ่าน อย. ในประเทศไทย ฟิลเลอร์ชนิดนี้ส่วนใหญ่มีส่วนผสมหลักเป็นสารแคลเซียม, ไฮดรอกซีอะพาไทต์ (Calcium Hydroxyapatite), สาร PLLA (Poly-L-lactic acid) และ สาร Polyalkylimide เป็นต้น หลังฉีดไปแล้วจะอยู่ได้ประมาณ 2-5 ปี
ข้อควรระวัง คือ ถ้าฉีดไปนาน ๆ อาจเกิดผลข้างเคียงอย่างฟิลเลอร์เป็นก้อน และการอักเสบตามมาภายหลังได้
- ฟิลเลอร์ถาวร (Permanent Filler)
เป็นฟิลเลอร์ที่ไม่สามารถย่อยสลายได้เลย ฉีดไปแล้วจะคงอยู่อย่างนั้นแบบถาวร ส่วนใหญ่ฟิลเลอร์ชนิดนี้จะมีซิลิโคนเหลว, พาราฟิน และ สาร PMMA (Polymethyl-methacrylate microspheres) เป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมหรือขจัดออกไปได้ หลังจากฉีดไปแล้วอาจได้รับผลข้างเคียงในระยะยาวมากมาย อาทิ ฟิลเลอร์ย้อยผิดรูป ฟิลเลอร์ไหล แข็งเป็นไต กลายเป็นพังผืด หรืออาจอักเสบจนติดเชื้อร้ายแรงได้เลย วิธีการแก้ไขทำได้แค่ผ่าตัดเพื่อขูดฟิลเลอร์ออกเท่านั้น ไม่มียาสลายฟิลเลอร์ เป็นฟิลเลอร์ที่อันตรายที่สุดที่เราต้องระวังมากที่สุดด้วยเช่นกัน
แบ่งตามเนื้อของฟิลเลอร์
-
ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง
มีลักษณะเป็นเนื้อเจลที่เป็นกลุ่มเป็นก้อนมากกว่าฟิลเลอร์ชนิดอื่น เมื่อบีบออกมาจะเห็นเป็นเส้น ทำให้ฟิลเลอร์ค่อนข้างแข็งแรง คงตัวได้ดี และใช้ยกผิวในชั้นกระดูกได้ เหมาะสำหรับฉีดบริเวณขมับ คาง กรอบหน้า และจมูก เพื่อปั้น และเติมแต่งใบหน้าให้มีมิติ เห็นกรอบหน้าชัดเจนขึ้น
-
ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม
มีความนิ่ม และยืดหยุ่นมากกว่าแบบเนื้อแข็งขึ้นมาเล็กน้อย ยังจับตัวกันได้ดีอยู่ เนื้อคล้ายเยลลี่ที่นุ่ม ไม่เป็นก้อน และเนื้อไม่เหลวเป็นน้ำ เหมาะสำหรับการฉีดในชั้นไขมันเพื่อเติมเต็มหน้าผาก ขมับ ปาก ร่องแก้ม แก้แก้มตอบ รวมไปถึงฉีดใต้ตาให้เต่งตึงเป็นธรรมชาติ
-
ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด
เป็นฟิลเลอร์อนุภาคเล็กที่สุด มีความบางเบาคล้ายน้ำ เนื้อเหลวมากที่สุด เหมาะสำหรับการฉีดในชั้นผิวตื้นเพื่อเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ บนใบหน้าตามจุดต่าง ๆ เช่น บริเวณใต้ตา ร่องน้ำตา ปาก และหน้าผาก รวมถึงฉีดรักษาหลุมสิว ลดริ้วรอยเล็กๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวอิ่มน้ำผิวฟู หลังฉีดแล้วจะให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด แต่ก็แลกมากับฟิลเลอร์จะสลายไวที่สุด ต้องหมั่นเติมบ่อย ๆ ด้วยเช่นกัน
ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ผ่าน อย. ของไทย มีอะไรบ้าง (อัพเดท 2024)
เราทำความรู้จักว่า ฟิลเลอร์ คืออะไร แต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไรไปบ้างแล้ว เรามารู้จักยี่ห้อ และรุ่นของฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองจาก อย. ของไทยกันต่อดีกว่า เพราะฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป ตอนเรานำชื่อฟิลเลอร์ที่คุณหมอฉีดให้ไปเช็คด้วยตัวเอง จะได้ทราบข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น
- Juvederm Filler
Juvederm เป็นฟิลเลอร์จากสหรัฐอเมริกา ใช้เทคโนโลยี Vycross เทคโนโลยีฟิลเลอร์อันดับ 1 และเทคโนโลยี Hyacross เพื่อให้ฟิลเลอร์อุ้มน้ำได้ดี มีความยืดหยุ่นสูง บวมน้ำน้อย ฉีดแล้วออกมาดูเป็นธรรมชาติ เป็นฟิลเลอร์ที่มีจำนวนทุกรุ่นที่เหมาะกับทุกตำแหน่ง และผสมยาชาทุกรุ่นทำให้เจ็บน้อย Juvederm ที่ผ่าน อย. ของไทย มีทั้งหมด 7 รุ่นดังต่อไปนี้
- Juvederm Voluma เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง ความหนาแน่นสูง ออกแบบมาเพื่อฉีดบริเวณแก้ม ร่องแก้ม และคาง หลังฉีดอยู่ได้นานประมาณ 18 เดือน
- Juvederm Volift เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด ยืดหยุ่นสูง นิ่มไม่เป็นก้อน เหมาะสำหรับฉีดใต้ตา ร่องแก้ม และปาก ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ อยู่ได้นาน 12 เดือน
- Juvederm Volite หรือ Skinvive เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียดที่เน้นไปที่การเติมเต็มริ้วรอยตื้น ๆ บนใบหน้าให้กลับมาดูอิ่มฟู และชุ่มชื้นมากขึ้น อยู่ได้นาน 6-8 เดือน
- Juvederm Volbella ฟิลเลอร์รุ่นนี้มีเนื้อละเอียด เหมาะสำหรับเพิ่มความเรียบเนียน และอิ่มฟูให้กับผิว ฉีดได้ทั้งหน้าผาก ปาก ใต้ตา และแก้ไขริ้วรอยบริเวณปากได้อย่างเป็นธรรมชาติ อยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน
- Juvederm Volux ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง สามารถปั้นขึ้นรูปได้ เหมาะสำหรับฉีดบริเวณผิวชั้นลึกเพื่อหยุงผิว ฉีดได้ทั้งร่องแก้ม คาง Jawline และขมับ อยู่ได้นานประมาณ 18 เดือน
- Juvederm Ultra Plus XC ฟิลเลอร์รุ่นนี้มีเนื้อนิ่ม ฟู กักเก็บน้ำได้ดี เหมาะสำหรับฉีดบริเวณที่มีการขยับบ่อย เพราะทนแรงขยับได้ดี อยู่ได้ประมาณ 12 เดือน
- Juvederm Ultra XC เป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม เน้นความเรียบเนียน เหมาะสำหรับการฉีดร่องแก้ม และบริเวณที่มีริ้วรอยลึก อยู่ได้ประมาณ 12 เดือน
- Restylane Filler
Restylane เป็นฟิลเลอร์จากสวีเดนที่มีหลายรุ่น นอกจากฟิลเลอร์ตัวนี้จะได้รับการรับรองจาก อย. ของไทยแล้ว ยังผ่านมาตรฐาน อย. จากสหรัฐอเมริกา (FDA) อีกด้วย Restylane ที่ผ่าน อย. ไทย แบ่งประเภทตามเทคโนโลยีการผลิตออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
- Restylane ที่ใช้เทคโนโลยี NASHA Technology โดดเด่นเรื่องการยกกระชับ และมีความเสี่ยงในการแพ้น้อยในการผลิต เป็นฟิลเลอร์กรดไฮยาลูโรนิกรุ่นดั้งเดิม ที่มีเนื้อฟิลเลอร์คล้ายกรดไฮยาลูโรนิกจากธรรมชาติค่อนข้างมาก เสี่ยงต่อการแพ้น้อยกว่า เนื้อค่อนข้างแน่น คงรูปได้ดี เหมาะสำหรับแก้ปัญหาร่องรอยลึก หรือบริเวณที่อยากให้ยกกระชับมาเป็นพิเศษ อยู่ได้นาน 18 เดือน
- Restylane Lyft เป็นฟิลเลอร์ที่ผสมยาชา ช่วยลดความเจ็บปวดขณะฉีดได้ เนื้อแน่นไม่ฟู คงรูปได้ดี เหมาะสำหรับฉีดบริเวณที่ต้องการยกกระชับ ปรับรูปแก้ม แก้ไขร่องแก้ม และเติมรอยพับบริเวณแก้ม และมือ อยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน
- Restylane ที่ใช้เทคโนโลยี XpresHAn Technology (OBT Technology) เด่นเรื่องผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติในการผลิต
- Restylane Refyne มีเนื้อค่อนข้างนิ่ม ยืดหยุ่น ไม่เป็นก้อน มีส่วนผสมของยาชา เหมาะสำหรับฉีดบริเวณที่มีการขยับเยอะ บริเวณที่เกิดรอยพับ และรอยเหี่ยวย่นต่าง ๆ อยู่ได้ 8-12 เดือน
- Restylane Defyne เป็นรุ่นที่เหมาะกับการฉีดร่องแก้มโดยเฉพาะ ใช้ปรับรูปทรงของคางได้ เพราะเนื้อฟิลเลอร์คงรูปได้ดี ยืดหยุ่นสูง อยู่ได้นาน 18 เดือน
- Restylane Silk เป็นฟิลเลอร์สำหรับฉีดปากโดยเฉพาะ สามารถเติมเต็มเนื้อปาก ลบร่องริมฝีปาก และปรับทรงปากได้ มีความอ่อนนุ่ม ยืดหยุ่นสูง คงตัวได้ดี อยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน
- Restylane Kysse เป็นอีกหนึ่งรุ่นสำหรับฉีกปากเช่นกัน มีจุดเด่นอยู่ที่ทำให้ริมฝีปากอิ่มสวย ช่วยให้ปากดูอมชมพูมากขึ้น อยู่ได้นาน 12 เดือน
Belotero Filler
Belotero เป็นฟิลเลอร์จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เหมาะสำหรับเติมเต็มร่องริ้วรอยทั้งตื้น และลึก ฟื้นฟูริ้วรอยบริเวณจุดต่าง ๆ โดยเฉพาะ ฉีดเสริมกระดูกและเนื้อเยื่อผิวหนังที่ยุบตัวลงตามอายุที่เพิ่มมากขึ้นได้ Belotero ที่ผ่าน อย. ของไทย มีทั้งหมด 4 รุ่น ดังต่อไปนี้
Belotero Soft เป็นรุ่นที่เหมาะสำหรับเติมเต็มร่องริ้วรอยตื้น หรือรอยเล็ก ๆ เช่น บริเวณใต้ตา หางตา และหน้าผาก อยู่ได้นาน 6-12 เดือน
Belotero Balance เป็นรุ่นที่ช่วยเติมเต็มร่องรอยปานกลางถึงลึกได้ดี เช่น บริเวณหน้าผาก หว่างคิ้ว แก้ม และริ้วรอยบริเวณปาก อยู่ได้นาน 12-18 เดือน
Belotero Volume เหมาะสำหรับฉีดเพื่อแก้ปัญหาการทรุดตัวของกระดูกบริเวณต่าง ๆ เช่น บริเวณขมับ โหนกแก้ม คาง และช่วยแก้ปัญหาแก้มตอบ อยู่ได้นาน 18 เดือน
Belotero Intense เป็นฟิลเลอร์เนื้อคงตัว เติมเต็มร่องลึกได้ดี เหมาะทั้งกับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยลึก และปัญหาการยุบตัวของผิวหนัง เช่น มุมปาก ร่องแก้ม แก้มตอบ เป็นต้น อยู่ได้นาน 18 เดือน
- Neuramis Filler
Neuramis เป็นฟิลเลอร์จากประเทศเกาหลีที่มีความคงทน เหมาะสำหรับแก้ปัญหาต่าง ๆ บนใบหน้าได้ดี มีราคาย่อมเยาเมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่น จึงได้รับความนิยมค่อนข้างมาก Neuramis ที่ผ่านการรับรองจาก อย. ไทย มีทั้งหมด 3 รุ่น คือ
- Neuramis Deep เป็นรุ่นที่มีความหนืดปานกลาง ความคงทนสูง เหมาะสำหรับฉีดในผิวชั้นลึก ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยตามจุดต่าง ๆ เช่น ร่องแก้ม ใต้ตา และขมับได้ดี
- Neuramis Deep Lidocaine มีลักษณะโดยรวมคล้ายรุ่น Neuramis Deep ต่างกันแค่รุ่นนี้มียาชาผสมอยู่
- Neuramis Volume Lidocaine เป็นรุ่นที่มีความคงตัวสูง ปั้นขึ้นรูปได้ เหมาะสำหรับคนมีปัญหาร่องแก้มลึก หรือผิวหย่อนคล้อย
ปัญหาแบบไหนที่เหมาะกับการร้อยไหมอิตาลี ?
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการยกกระชับแบบเร่งด่วน เห็นผลลัพธ์ชัดเจนและอยู่ได้นาน ผู้ที่มักมีปัญหาผิวบาง ผิวช้ำง่าย ก็จะยิ่งเหมาะมากๆ เพราะด้วยเทคนิคของไหมอิตาลี ที่โอกาสเกิดการช้ำเขียวน้อยกว่า ไหมชนิดอื่นๆ รวมถึงความยาวนานของผลลัพธ์ที่ได้รับ และยังเหมาะผู้ที่มีปัญหาบนใบหน้าอื่นๆ อาทิ
- ผิวหย่อนคล้อย
- ริ้วรอยและร่องลึกบนใบหน้า
- คาง 2 ชั้น
- ใบหน้าไม่เรียว
- กรอบหน้าไม่ชัด
- รู้สึกมีแก้มตอบ มีร่องน้ำหมาก ร่องแก้ม
- ร่องแก้มลึก
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการร้อยไหมอิตาลี
งดรับประทานยาแอสไพรินหรือยาต้านการอักเสบอื่นๆ ก่อนเข้ารับการทำหัตถการอย่างน้อย 1 สัปดาห์
แจ้งแพทย์เกี่ยวกับประวัติการแพ้ยาหรือโรคประจำตัวที่มีอยู่
การดูแลตัวเองหลังเข้ารับการร้อยไหมอิตาลี
ประคบเย็นบริเวณที่ร้อยไหมเพื่อลดอาการบวมและช้ำ
หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าแรงๆ หรือการนวดบริเวณที่ร้อยไหม
หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักหรือกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมาก
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และดื่มน้ำมากๆ
หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัดหรือเข้าห้องอบไอน้ำ
หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวด บวม แดง ร้อน หรือมีหนองไหล ให้รีบพบแพทย์ทันที
คำถามเกี่ยวกับไหมอิตาลีที่พบบ่อย
Q: การร้อยไหมอิตาลีอยู่ได้กี่เดือน ?
- A: ไหมอิตาลี เป็นวัสดุ PLACL จะเริ่มดูดซึมเข้าชั้นผิวโดยใช้ระยะเวลา 12-18 เดือน แต่ผลของการยกกระชับนั้นจะยาวนานสูงสุดถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลและบำรุง
Q: ร้อยไหมอิตาลีมีความเสี่ยงอะไรบ้าง ?
- A: การออกแบบทิศทางการยกกระชับของไหมให้ได้รูปหน้าที่เป็นธรรมชาติ ถ้าทำด้วยความแม่นยำและเทคนิคที่ถูกต้องจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีความเสี่ยงน้อยมาก
Q: ร้อยไหมอิตาลีบวมกี่วัน ?
- A: หลังจากทำเสร็จไม่สามารถมองเห็นอาการบวมได้ชัดเจน แต่อาจจะรู้สึกได้เล็กน้อย ประมาณ 1-2 วัน
Q: ร้อยไหมอิตาลีพักฟื้นกี่วัน ?
- A: ใช้เวลาพักฟื้น 1 วัน
Q: หากไหมขาดต้องทำอย่างไร ?
- A: ที่ผ่านมาทางอะกาลิโกยังไม่เคยเจอเคสไหมขาด เพราะเส้นไหมมีความเหนียวทนทานมาก รวมไปถึงเทคนิคและความแม่นยำของคุณหมอทำให้ไม่เกิดความเสี่ยงที่ไหมจะขาดได้ แต่อย่างไรก็ตามในกรณีที่เส้นไหมขาดภายใต้ชั้นผิวควร ติดต่อแพทย์ทันที
Recent Comments