เพราะ ฟิลเลอร์ เป็นหนึ่งในบริการความงามยอดนิยมอันดับต้น ๆ ของไทย จึงมีข้อควรรู้ที่เราจำเป็นต้องศึกษาค่อนข้างมาก ฉะนั้น ถ้าไม่อยากเสียเงินไปฟรี ๆ ควรทำความเข้าใจให้ดีก่อน จะได้เลือกฉีดฟิลเลอร์ให้ตอบโจทย์ตัวเรามากที่สุด
สังเกตไหมว่าโลกยุคใหม่ช่วงนี้มีบริการความงามเกิดขึ้นมามากมาย หนึ่งในนั้นคือ การฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในไทย สำหรับคนที่มีแผนว่าอยากไปฉีดฟิลเลอร์กับเขาดูบ้าง แต่ยังไม่มั่นใจว่าฟิลเลอร์จริง ๆ แล้วช่วยเรื่องอะไร ตรงกับปัญหาที่เราเจออยู่หรือเปล่า มีทั้งหมดกี่ยี่ห้อ เราควรฉีดกี่ cc มีข้อดีข้อเสียอะไรที่เราควรระวังบ้าง รวมไปถึงเราต้องปฏิบัติตัวอย่างไรหลังฉีดแล้ว เราจะพาทุกคนไปไขข้อข้องใจทั้งหมดที่กล่าวมากันในบทความนี้
ที่จริงแล้ว ฟิลเลอร์ (Filler) คืออะไรกันแน่ ?
ฟิลเลอร์ คือ การฉีดสารเติมเต็มชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติอุ้มน้ำเข้าไปในผิวหน้าของเราเพื่อทดแทนคอลลาเจนที่ร่างกายเสียไปเมื่ออายุเพิ่มขึ้น และช่วยแก้ปัญหากวนใจต่าง ๆ ให้หมดไป ไม่ว่าจะเป็นร่องรอยลึกตามจุดต่าง ๆ บนใบหน้า อาทิ ร่องแก้ม หน้าผาก ปาก ใต้ตา รวมไปถึงบริเวณขมับ ช่วยยกกระชับใบหน้าที่ดูหย่อนคล้อยให้กลับมาตึงกระชับ และยังช่วยปรับรูปหน้าให้เข้าที่สมส่วนมากยิ่งขึ้นได้อีกด้วย แต่ก็ไม่ใช่ว่าฟิลเลอร์ชนิดเดียว สามารถแก้ปัญหาได้ทุกจุด
อันที่จริงฟิลเลอร์มีหลากหลายประเภท ขึ้นอยู่กับส่วนประกอบภายใน ประเภทที่นิยมในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นการฉีดเพื่อเติมเต็ม และฟื้นฟู ที่เราเรียกกันว่า ฟิลเลอร์อ่อน หรือ ฟิลเลอร์ชั่วคราว มีส่วนประกอบหลักเป็น สารเติมเต็ม Hyaluronic acid (HA) ที่สลายเองได้ตามธรรมชาติ มีความปลอดภัยสูง และผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) ประเทศไทย
ทั้งนี้ หัวใจสำคัญของการฉีดฟิลเลอร์ นอกจากจะอยู่ที่การเลือกประเภทที่ตอบโจทย์แล้ว ยังอยู่ที่ความเชี่ยวชาญของแพทย์ด้วยเช่นกัน เพราะการฉีดฟิลเลอร์เปรียบเสมือนการปั้นรูปปั้น ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านค่อนข้างสูง ไม่ใช่ใครก็สามารถทำได้ ผู้ที่ฉีดฟิลเลอร์ต้องมีความรู้ความเข้าใจในสรีระของมนุษย์ รวมไปถึงเข้าใจโครงหน้าและรูปหน้าโดยรวมร่วมด้วย
ฟิลเลอร์ มีทั้งหมดกี่ประเภท
อย่างที่เรากล่าวไปว่าฟิลเลอร์ได้รับความนิยมสูงมาก จึงมีหลากหลายประเภทมากขึ้นตามไปด้วย แต่เราก็สามารถจัดกลุ่มแบ่งออกเป็นประเภทหลัก ๆ ได้ทั้งหมด 2 ประเภท ดังนี้
แบ่งตามระยะเวลาของฟิลเลอร์
- ฟิลเลอร์ชั่วคราว (Temporary Filler)
เป็นฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมมาก สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ เพราะมีส่วนผสมหลัก คือ Hyaluronic acid (HA) มีความปลอดภัยสูงเพราะเป็นฟิลเลอร์ชนิดเดียวที่ได้รับการรับรองจาก อย. ถึงแม้ฉีดไปแล้วจะอยู่ได้เพียง 6-24 เดือน (ขึ้นอยู่กับรุ่น และยี่ห้อ) แต่สามารถเติมใหม่ได้เรื่อย ๆ โดยไม่มีอันตราย เหมาะสำหรับคนที่อยากเติมเต็มร่องลึก หรือริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้า อาทิ ขมับ หน้าผาก ร่องแก้ม ใต้ตา และปาก เป็นต้น
- ฟิลเลอร์กึ่งถาวร (Semi-Permanent Filler)
เป็นฟิลเลอร์ที่สลายตามธรรมชาติได้แค่บางส่วน ไม่หมด 100% ถึงแม้จะมีใช้ที่ต่างประเทศ แต่ก็ยังนับว่ามีความปลอดภัยน้อยกว่าฟิลเลอร์แบบชั่วคราวอยู่ดี เพราะยังไม่ผ่าน อย. ในประเทศไทย ฟิลเลอร์ชนิดนี้ส่วนใหญ่มีส่วนผสมหลักเป็นสารแคลเซียม, ไฮดรอกซีอะพาไทต์ (Calcium Hydroxyapatite), สาร PLLA (Poly-L-lactic acid) และ สาร Polyalkylimide เป็นต้น หลังฉีดไปแล้วจะอยู่ได้ประมาณ 2-5 ปี
ข้อควรระวัง คือ ถ้าฉีดไปนาน ๆ อาจเกิดผลข้างเคียงอย่างฟิลเลอร์เป็นก้อน และการอักเสบตามมาภายหลังได้
- ฟิลเลอร์ถาวร (Permanent Filler)
เป็นฟิลเลอร์ที่ไม่สามารถย่อยสลายได้เลย ฉีดไปแล้วจะคงอยู่อย่างนั้นแบบถาวร ส่วนใหญ่ฟิลเลอร์ชนิดนี้จะมีซิลิโคนเหลว, พาราฟิน และ สาร PMMA (Polymethyl-methacrylate microspheres) เป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมหรือขจัดออกไปได้ หลังจากฉีดไปแล้วอาจได้รับผลข้างเคียงในระยะยาวมากมาย อาทิ ฟิลเลอร์ย้อยผิดรูป ฟิลเลอร์ไหล แข็งเป็นไต กลายเป็นพังผืด หรืออาจอักเสบจนติดเชื้อร้ายแรงได้เลย วิธีการแก้ไขทำได้แค่ผ่าตัดเพื่อขูดฟิลเลอร์ออกเท่านั้น ไม่มียาสลายฟิลเลอร์ เป็นฟิลเลอร์ที่อันตรายที่สุดที่เราต้องระวังมากที่สุดด้วยเช่นกัน
แบ่งตามเนื้อของฟิลเลอร์
-
ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง
มีลักษณะเป็นเนื้อเจลที่เป็นกลุ่มเป็นก้อนมากกว่าฟิลเลอร์ชนิดอื่น เมื่อบีบออกมาจะเห็นเป็นเส้น ทำให้ฟิลเลอร์ค่อนข้างแข็งแรง คงตัวได้ดี และใช้ยกผิวในชั้นกระดูกได้ เหมาะสำหรับฉีดบริเวณขมับ คาง กรอบหน้า และจมูก เพื่อปั้น และเติมแต่งใบหน้าให้มีมิติ เห็นกรอบหน้าชัดเจนขึ้น
-
ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม
มีความนิ่ม และยืดหยุ่นมากกว่าแบบเนื้อแข็งขึ้นมาเล็กน้อย ยังจับตัวกันได้ดีอยู่ เนื้อคล้ายเยลลี่ที่นุ่ม ไม่เป็นก้อน และเนื้อไม่เหลวเป็นน้ำ เหมาะสำหรับการฉีดในชั้นไขมันเพื่อเติมเต็มหน้าผาก ขมับ ปาก ร่องแก้ม แก้แก้มตอบ รวมไปถึงฉีดใต้ตาให้เต่งตึงเป็นธรรมชาติ
-
ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด
เป็นฟิลเลอร์อนุภาคเล็กที่สุด มีความบางเบาคล้ายน้ำ เนื้อเหลวมากที่สุด เหมาะสำหรับการฉีดในชั้นผิวตื้นเพื่อเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ บนใบหน้าตามจุดต่าง ๆ เช่น บริเวณใต้ตา ร่องน้ำตา ปาก และหน้าผาก รวมถึงฉีดรักษาหลุมสิว ลดริ้วรอยเล็กๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวอิ่มน้ำผิวฟู หลังฉีดแล้วจะให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด แต่ก็แลกมากับฟิลเลอร์จะสลายไวที่สุด ต้องหมั่นเติมบ่อย ๆ ด้วยเช่นกัน
ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ผ่าน อย. ของไทย มีอะไรบ้าง (อัพเดท 2024)
เราทำความรู้จักว่า ฟิลเลอร์ คืออะไร แต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไรไปบ้างแล้ว เรามารู้จักยี่ห้อ และรุ่นของฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองจาก อย. ของไทยกันต่อดีกว่า เพราะฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป ตอนเรานำชื่อฟิลเลอร์ที่คุณหมอฉีดให้ไปเช็คด้วยตัวเอง จะได้ทราบข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น
Juvederm Filler
Juvederm เป็นฟิลเลอร์จากสหรัฐอเมริกา ใช้เทคโนโลยี Vycross เทคโนโลยีฟิลเลอร์อันดับ 1 และเทคโนโลยี Hyacross เพื่อให้ฟิลเลอร์อุ้มน้ำได้ดี มีความยืดหยุ่นสูง บวมน้ำน้อย ฉีดแล้วออกมาดูเป็นธรรมชาติ เป็นฟิลเลอร์ที่มีจำนวนทุกรุ่นที่เหมาะกับทุกตำแหน่ง และผสมยาชาทุกรุ่นทำให้เจ็บน้อย Juvederm ที่ผ่าน อย. ของไทย มีทั้งหมด 7 รุ่นดังต่อไปนี้
- Juvederm Voluma เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง ความหนาแน่นสูง ออกแบบมาเพื่อฉีดบริเวณแก้ม ร่องแก้ม และคาง หลังฉีดอยู่ได้นานประมาณ 18 เดือน
- Juvederm Volift เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด ยืดหยุ่นสูง นิ่มไม่เป็นก้อน เหมาะสำหรับฉีดใต้ตา ร่องแก้ม และปาก ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ อยู่ได้นาน 12 เดือน
- Juvederm Volite หรือ Skinvive เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียดที่เน้นไปที่การเติมเต็มริ้วรอยตื้น ๆ บนใบหน้าให้กลับมาดูอิ่มฟู และชุ่มชื้นมากขึ้น อยู่ได้นาน 6-8 เดือน
- Juvederm Volbella ฟิลเลอร์รุ่นนี้มีเนื้อละเอียด เหมาะสำหรับเพิ่มความเรียบเนียน และอิ่มฟูให้กับผิว ฉีดได้ทั้งหน้าผาก ปาก ใต้ตา และแก้ไขริ้วรอยบริเวณปากได้อย่างเป็นธรรมชาติ อยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน
- Juvederm Volux ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง สามารถปั้นขึ้นรูปได้ เหมาะสำหรับฉีดบริเวณผิวชั้นลึกเพื่อหยุงผิว ฉีดได้ทั้งร่องแก้ม คาง Jawline และขมับ อยู่ได้นานประมาณ 18 เดือน
- Juvederm Ultra Plus XC ฟิลเลอร์รุ่นนี้มีเนื้อนิ่ม ฟู กักเก็บน้ำได้ดี เหมาะสำหรับฉีดบริเวณที่มีการขยับบ่อย เพราะทนแรงขยับได้ดี อยู่ได้ประมาณ 12 เดือน
- Juvederm Ultra XC เป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม เน้นความเรียบเนียน เหมาะสำหรับการฉีดร่องแก้ม และบริเวณที่มีริ้วรอยลึก อยู่ได้ประมาณ 12 เดือน
Restylane Filler
Restylane เป็นฟิลเลอร์จากสวีเดนที่มีหลายรุ่น นอกจากฟิลเลอร์ตัวนี้จะได้รับการรับรองจาก อย. ของไทยแล้ว ยังผ่านมาตรฐาน อย. จากสหรัฐอเมริกา (FDA) อีกด้วย Restylane ที่ผ่าน อย. ไทย แบ่งประเภทตามเทคโนโลยีการผลิตออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
- Restylane ที่ใช้เทคโนโลยี NASHA Technology โดดเด่นเรื่องการยกกระชับ และมีความเสี่ยงในการแพ้น้อยในการผลิต เป็นฟิลเลอร์กรดไฮยาลูโรนิกรุ่นดั้งเดิม ที่มีเนื้อฟิลเลอร์คล้ายกรดไฮยาลูโรนิกจากธรรมชาติค่อนข้างมาก เสี่ยงต่อการแพ้น้อยกว่า เนื้อค่อนข้างแน่น คงรูปได้ดี เหมาะสำหรับแก้ปัญหาร่องรอยลึก หรือบริเวณที่อยากให้ยกกระชับมาเป็นพิเศษ อยู่ได้นาน 18 เดือน
- Restylane Lyft เป็นฟิลเลอร์ที่ผสมยาชา ช่วยลดความเจ็บปวดขณะฉีดได้ เนื้อแน่นไม่ฟู คงรูปได้ดี เหมาะสำหรับฉีดบริเวณที่ต้องการยกกระชับ ปรับรูปแก้ม แก้ไขร่องแก้ม และเติมรอยพับบริเวณแก้ม และมือ อยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน
- Restylane ที่ใช้เทคโนโลยี XpresHAn Technology (OBT Technology) เด่นเรื่องผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติในการผลิต
- Restylane Refyne มีเนื้อค่อนข้างนิ่ม ยืดหยุ่น ไม่เป็นก้อน มีส่วนผสมของยาชา เหมาะสำหรับฉีดบริเวณที่มีการขยับเยอะ บริเวณที่เกิดรอยพับ และรอยเหี่ยวย่นต่าง ๆ อยู่ได้ 8-12 เดือน
- Restylane Defyne เป็นรุ่นที่เหมาะกับการฉีดร่องแก้มโดยเฉพาะ ใช้ปรับรูปทรงของคางได้ เพราะเนื้อฟิลเลอร์คงรูปได้ดี ยืดหยุ่นสูง อยู่ได้นาน 18 เดือน
- Restylane Silk เป็นฟิลเลอร์สำหรับฉีดปากโดยเฉพาะ สามารถเติมเต็มเนื้อปาก ลบร่องริมฝีปาก และปรับทรงปากได้ มีความอ่อนนุ่ม ยืดหยุ่นสูง คงตัวได้ดี อยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน
- Restylane Kysse เป็นอีกหนึ่งรุ่นสำหรับฉีกปากเช่นกัน มีจุดเด่นอยู่ที่ทำให้ริมฝีปากอิ่มสวย ช่วยให้ปากดูอมชมพูมากขึ้น อยู่ได้นาน 12 เดือน
Belotero Filler
Belotero เป็นฟิลเลอร์จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เหมาะสำหรับเติมเต็มร่องริ้วรอยทั้งตื้น และลึก ฟื้นฟูริ้วรอยบริเวณจุดต่าง ๆ โดยเฉพาะ ฉีดเสริมกระดูกและเนื้อเยื่อผิวหนังที่ยุบตัวลงตามอายุที่เพิ่มมากขึ้นได้ Belotero ที่ผ่าน อย. ของไทย มีทั้งหมด 4 รุ่น ดังต่อไปนี้
Belotero Soft เป็นรุ่นที่เหมาะสำหรับเติมเต็มร่องริ้วรอยตื้น หรือรอยเล็ก ๆ เช่น บริเวณใต้ตา หางตา และหน้าผาก อยู่ได้นาน 6-12 เดือน
Belotero Balance เป็นรุ่นที่ช่วยเติมเต็มร่องรอยปานกลางถึงลึกได้ดี เช่น บริเวณหน้าผาก หว่างคิ้ว แก้ม และริ้วรอยบริเวณปาก อยู่ได้นาน 12-18 เดือน
Belotero Volume เหมาะสำหรับฉีดเพื่อแก้ปัญหาการทรุดตัวของกระดูกบริเวณต่าง ๆ เช่น บริเวณขมับ โหนกแก้ม คาง และช่วยแก้ปัญหาแก้มตอบ อยู่ได้นาน 18 เดือน
Belotero Intense เป็นฟิลเลอร์เนื้อคงตัว เติมเต็มร่องลึกได้ดี เหมาะทั้งกับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยลึก และปัญหาการยุบตัวของผิวหนัง เช่น มุมปาก ร่องแก้ม แก้มตอบ เป็นต้น อยู่ได้นาน 18 เดือน
Neuramis Filler
Neuramis เป็นฟิลเลอร์จากประเทศเกาหลีที่มีความคงทน เหมาะสำหรับแก้ปัญหาต่าง ๆ บนใบหน้าได้ดี มีราคาย่อมเยาเมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่น จึงได้รับความนิยมค่อนข้างมาก Neuramis ที่ผ่านการรับรองจาก อย. ไทย มีทั้งหมด 3 รุ่น คือ
- Neuramis Deep เป็นรุ่นที่มีความหนืดปานกลาง ความคงทนสูง เหมาะสำหรับฉีดในผิวชั้นลึก ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยตามจุดต่าง ๆ เช่น ร่องแก้ม ใต้ตา และขมับได้ดี
- Neuramis Deep Lidocaine มีลักษณะโดยรวมคล้ายรุ่น Neuramis Deep ต่างกันแค่รุ่นนี้มียาชาผสมอยู่
- Neuramis Volume Lidocaine เป็นรุ่นที่มีความคงตัวสูง ปั้นขึ้นรูปได้ เหมาะสำหรับคนมีปัญหาร่องแก้มลึก หรือผิวหย่อนคล้อย
Perfectha Filler
Perfectha เป็นฟิลเลอร์จากประเทศฝรั่งเศส โดดเด่นเรื่องการให้ความชุ่มชื้น และมีความยืดหยุ่นสูง ไม่ไหลย้อย ใช้ลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้าได้ดี อีกทั้งฟิลเลอร์ยี่ห้อนี้ยังปราศจากสารก่อมะเร็ง จึงมีความปลอดภัยสูงมากอีกด้วย รุ่นที่ผ่าน อย. ของไทย มีทั้งหมด 4 รุ่น คือ
- Perfectha Subskin เป็นรุ่นที่เนื้อแน่น คงตัวสูง เหมาะเป็นส่วนเติมเต็มในจุดที่ต้องการ เช่น แก้มส้ม คาง และขมับ อยู่ได้นาน 12-18 เดือน
- Perfectha Deep เหมาะสำหรับการเติมรอยลึกโดยเฉพาะ เช่น ร่องน้ำหมาก ริมฝีปาก ฉีดยกมุมปาก และคาง อยู่ได้ประมาณ 8-12 เดือน
- Perfectha Derm เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยตื้น และลึก เช่น บริเวณหว่างคิ้ว ช่วยเติมเต็มริมฝีปากให้อวบอิ่มได้ อยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน
- Perfectha Complement เหมาะสำหรับฉีดบริเวณที่มีริ้วรอยตื้น เช่น ใต้ตา อยู่ได้นาน 6 เดือน
Yvoire Filler
Yvoire เป็นฟิลเลอร์จากประเทศเกาหลีที่โดดเด่นด้านความยืดหยุ่นสูง ดูเป็นธรรมชาติ มีความคงทน ไม่สลายตัวง่าย ยึดเกาะอยู่ใต้ชั้นผิวได้นาน รุ่นที่ผ่าน อย. ของไทย มี 3 รุ่น คือ
- Yvoire Classic Plus เป็นรุ่นที่เหมาะสำหรับเติมเต็มริ้วรอยตื้น และช่วยเติมน้ำให้ผิวได้ดี หรือจะฉีดริ้วรอยใต้ตา หางตา และรอบปากก็ได้ มีอายุประมาณ 9-12 เดือน
- Yvoire Contour เหมาะสำหรับเติมเต็มบริเวณขมับ โหนกแก้ม ร่องแก้ม และคาง ทั้งยังช่วยปรับกรอบหน้าให้ชัดขึ้นได้อีกด้วย อยู่ได้ประมาณ 9-12 เดือน
- Yvoire Volume Plus รุ่นนี้ออกแบบมาเพื่อฉีดหน้าผาก ใต้ตา แก้ม ร่องแก้ม รวมไปถึงร่องรอยลึกต่าง ๆ โดยเฉพาะ อยู่ได้ 9-12 เดือน
Revanesse Filler
Revanesse เป็นฟิลเลอร์จากประเทศแคนาดาที่ผลิตจากไฮยาลูรอนิก แอซิด คุณภาพสูง ทำให้ฟิลเลอร์มีความยืดหยุ่นสูง คงทน ดูเป็นธรรมชาติ บวมน้อย ปลอดภัยสูง เพราะผ่านการรับรองมาตรฐาน อย. จากสหรัฐอเมริกา (FDA) สำหรับรุ่นที่ผ่าน อย. ไทย มีทั้งหมด 1 รุ่น คือ
- Revanesse Ultra เป็นฟิลเลอร์เนื้อเจลความหนืดสูงที่เหมาะสำหรับเติมเต็มร่องรอยลึก เพิ่มมิติให้กับใบหน้าได้ อยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน
- Definisse Definisse เป็นฟิลเลอร์จากประเทศอิตาลีที่มีความปลอดภัยสูง เพราะเป็นไฮยาลูโรนิก แอซิด ที่สลายเองตามธรรมชาติได้ ความเสี่ยงในการแพ้ค่อนข้างต่ำ มีความคงตัวสูง และลดอาการบวมหลังฉีดได้
- Definisse Core เป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น มียาชาผสมอยู่ เหมาะสำหรับการปรับรูปหน้าบริเวณแก้มส้ม กรอบหน้า และคาง อยู่ได้ประมาณ 18 เดือน
- Definisse Restore เป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม เหมาะสำหรับเติมเต็มริ้วรอยต่าง ๆ เช่น บริเวณร่องแก้ม มุมปาก อยู่ได้ประมาณ 12 เดือน
- Definisse Touch เป็นฟิลเลอร์เนื้อเนียนละเอียด แต่งขึ้นรูปได้ เหมาะสำหรับฉีดปาก ใต้ตา ร่องแก้ม และร่องมุมปาก อยู่ได้นาน 8-12 เดือน
FLORE Filler
FLORE เป็นฟิลเลอร์อีกหนึ่งยี่ห้อที่มาจากประเทศเกาหลี เนื้อเจลมีความคงตัวสูง จัดแต่งรูปทรงได้ง่าย กลืนไปกับผิวได้ดี ดูเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นก้อน ข้อดีคือสลายตัวช้า ทำให้อยู่ได้นานหลังฉีด รุ่นที่ผ่าน อย. ไทย มีทั้งหมด 5 รุ่น คือ
- FLORE Aqua-S เป็นฟิลเลอร์ที่โดดเด่นด้านการเพิ่มความชุ่มชื้น เหมาะสำหรับริ้วรอยตื้น ๆ อยู่ได้ประมาณ 6 เดือน
- FLORE Max เป็นฟิลเลอร์ที่ยืดหยุ่นสูง มีความหนืดค่อนข้างมาก และขึ้นรูปได้ดี มีความเป็นธรรมชาติ อยู่ได้ประมาณ 9-12 เดือน
- FLORE Max 1400 เป็นฟิลเลอร์ที่มีความคงตัวสูง เนื้อแน่น และยืดหยุ่น เหมาะสำหรับฉีดยกกระชับบริเวณที่หย่อนคล้อย หรือต้องการแก้ไขโครงสร้างกระดูก รวมไปถึงปรับรูปหน้าให้สมดุล อยู่ได้ประมาณ 12 เดือน
- FLORE N เป็นเนื้อเจลที่มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับแก้ไขบริเวณหน้าแก้ม และร่องแก้ม กระจายตัวได้ดีดูเป็นธรรมชาติ อยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน
- FLORE S มีเนื้อกึ่งเหลว เหมาะสำหรับแก้ไขริ้วรอยตามจุดต่าง ๆ ให้เรียบเนียน และช่วยลดรอยคล้ำได้ดี อยู่ได้ประมาณ 6-8 เดือน
E.P.T.Q Filler
E.P.T.Q ฟิลเลอร์สัญชาติเกาหลียี่ห้อนี้ โดดเด่นด้านการลดเลือนริ้วรอยลึก มีความปลอดภัยสูง เพราะผลิตภายใต้การควบคุมให้เป็นไปตามมาตรฐาน EP (European Pharmacopoeia) รุ่นที่ผ่านการรับรองจาก อย. ไทย มีทั้งหมด 3 รุ่น คือ
- E.P.T.Q S 100 เป็นรุ่นที่เหมาะสำหรับฉีดใต้ตา ขมับ ปาก และหน้าผาก มีเนื้อค่อนข้างนิ่ม เติมเต็มผิวได้ดี ดูเป็นธรรมชาติ อยู่ได้นาน 6 เดือน
- E.P.T.Q S 300 มีเนื้อแน่นปานกลาง ยืดหยุ่น เหมาะสำหรับฉีดบริเวณต่าง ๆ ที่มีริ้วรอยไม่พึงประสงค์ รวมไปถึงใช้ปรับรูปทรงบริเวณที่ฉีดได้ด้วย อยู่ได้ประมาณ 8 เดือน
- E.P.T.Q S 500 เหมาะสำหรับเติมเต็มริ้วรอยลึก หรือบริเวณที่เหี่ยวย่นมากเป็นพิเศษ รวมไปถึงส่วนที่กระดูกทรุด เพราะมีเนื้อแน่น และแข็งที่สุด อยู่ได้ประมาณ 12 เดือน
เราฉีดฟิลเลอร์ตรงไหนได้บ้าง ?
การฉีดฟิลเลอร์บนใบหน้าให้ได้ผลลัพธ์ออกมาน่าพึงพอใจที่สุด นอกจากจะอยู่ที่การเลือกฟิลเลอร์ให้ตรงโจทย์แล้ว ยังอยู่ที่ความชำนาญของแพทย์ด้วย เพราะแพทย์สามารถช่วยเราแก้ปัญหาไม่พึงประสงค์ พร้อมทั้งแนะนำปริมาณ จุดที่ควรฉีดบนใบหน้าของเราได้อย่างแม่นยำ และปลอดภัย สำหรับบริเวณต่าง ๆ บนใบหน้าที่สามารถฉีดฟิลเลอร์ได้ มีดังต่อไปนี้
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
การฉีดบริเวณใต้ตา เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยใต้ตา มีตาลึกโหล มีถุงใต้ตา หรือขอบตาคล้ำ เพื่อให้ดวงตากลับมาดูสดใส มีชีวิตชีวา และดูอ่อนเยาว์ขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยแก้ปัญหาเรื่องใต้ตายุบตัวของกระดูก และเนื้ออีกด้วย การฉีดบริเวณนี้จะใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 1-2 cc ก็สามารถเห็นผลได้ทันที และอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์ รวมไปถึงการดูแลตัวเอง แต่ทั้งนี้ปริมาณ cc ที่แน่นอนจะแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล
สำหรับฟิลเลอร์ใต้ตา ควรฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์เท่านั้น เพราะเป็นส่วนที่ละเอียดอ่อนมาก หากแพทย์มีความเชี่ยวชาญไม่มากพอ อาจเป็นก้อนได้
ฉีดฟิลเลอร์ปาก
ฟิลเลอร์ปาก ช่วยแก้ปัญหาทั้งริมฝีปากบาง ขอบปากคล้ำ ปากตกร่อง ปากแห้ง มุมปากตก ริ้วรอยร่องปาก รวมไปถึงช่วยปรับรูปทรงปากให้สวยงามได้ด้วยเช่นกัน ฟิลเลอร์ที่ใช้จะประกอบไปด้วยสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 1-2 cc ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละคน หลังฉีดจะสังเกตเห็นผลได้ทันที และจะอยู่ได้นานประมาณ 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นฟิลเลอร์ที่ใช้ รวมไปถึงการดูแลตัวเองหลังฉีด
ฉีดฟิลเลอร์คาง
ฟิลเลอร์คาง ช่วยแก้ปัญหาคางสั้น คางไม่เท่ากัน รวมไปถึงคนที่มีคางตัด คางเบี้ยวได้ เพราะฟิลเลอร์จะเข้าไปช่วยปรับรูปหน้าเราให้สมดุล ดูเรียวสวยสมส่วนโดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด ฟิลเลอร์คางจะใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 1 cc หรือมากกว่า ตามปัญหาของแต่ละคน หลังฉีดสามารถสังเกตการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน และจะคงอยู่ประมาณ 12-24 เดือน
ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม
ฟิลเลอร์ร่องแก้ม เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาการยุบตัวของกระดูกบริเวณร่องแก้ม หรือใต้ตา ทั้งยังช่วยแก้ปัญหาร่องแก้มลึกได้แบบไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด สำหรับการฉีดเติมเต็มร่องแก้ม จะใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 2 cc หรือมากกว่า ตามปัญหาของแต่ละคน และจะคงอยู่ประมาณ 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นที่เลือกใช้
ฉีดฟิลเลอร์จมูก
หากคุณต้องการเพิ่มความคมของสันจมูก หรือปลายจมูกขึ้นเล็กน้อยโดยไม่ต้องผ่าตัด การฉีดฟิลเลอร์ช่วยได้ โดยใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 1 cc อยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน
การฉีดฟิลเลอร์จมูกนี้ จำเป็นต้องใช้เทคนิค และความชำนาญของแพทย์มากเป็นพิเศษ เพราะเป็นบริเวณที่มีเส้นเลือดรวมตัวอยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ การฉีดฟิลเลอร์จมูกยังไม่เหมาะสำหรับคนที่วางแผนจะผ่าตัดเสริมจมูก เพราะอาจก่อให้เกิดปัญหาฟิลเลอร์ยึดเกาะแท่งซิลิโคนได้ ถ้าฉีดฟิลเลอร์แล้วต้องการผ่าตัดเสริมจมูก จะต้องขูดฟิลเลอร์ที่กระดูกจมูกตามแนวที่วางซิลิโคนออกก่อน เพื่อให้ซิลิโคนยึดเกาะจมูกได้ดีขึ้น
ฉีดฟิลเลอร์ขมับ
การฉีดฟิลเลอร์ขมับ เป็นการปรับโครงหน้าโดยรวมให้สมดุล สมส่วนมากขึ้น เพราะฟิลเลอร์จะเข้าไปเติมเต็มบริเวณขมับ แก้ปัญหาขมับลึก รวมไปถึงแก้ปัญหาริ้วรอยหางตาให้เต่งตึง ชุ่มชื้น ขึ้นได้แบบไม่ต้องอาศัยการผ่าตัด แพทย์จะใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 1-2 cc ตามปัญหาของแต่ละคน ฉีดเข้าไปบริเวณที่ต้องการ และจะคงอยู่ประมาณ 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นที่เลือกใช้
ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก
ฟิลเลอร์หน้าผากช่วยแก้ปัญหาหน้าผากยุบ หน้าผากแบน มีร่องลึกรอยบุ๋ม รวมไปถึงมีรอยย่นจากอายุที่เพิ่มขึ้น ให้นูนสวยเรียบเนียนขึ้นมาได้ โดยใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 1-2 cc หรือมากกว่า ตามปัญหาของแต่ละคน หลังฉีดอาจมีอาการบวมเล็กน้อยตามปกติ แต่อาการเหล่านั้นจะหายไปเองหลังจากผ่านไป 7-14 วัน ฟิลเลอร์จะคงอยู่ประมาณ 12 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นที่เลือกใช้
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ มีอะไรบ้าง
- แก้ปัญหาร่องริ้วรอยต่าง ๆ ให้ตื้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
- ช่วยปรับสมดุลของผิวให้แข็งแรงขึ้น
- ปรับรูปหน้าให้ดูสมมาตร ดูมีสัดส่วนขึ้น
- ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคต เพิ่มความชุ่มชื้น และความยืดหยุ่นให้กับผิว
- แก้ไขปัญหาบนใบหน้าได้ละเอียด แม่นยำ และตรงจุด
- ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ
- เห็นผลทันที ไม่ต้องพักฟื้น ไม่มีรอยแผลเป็นกวนใจ
- เติมใหม่ได้เรื่อย ๆ หรือฉีดสลายออกได้โดยไม่เป็นอันตราย
- ปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดการแพ้ ไม่มีสารตกค้างในร่างกาย เพราะได้รับการรับรองจาก อย. ประเทศไทย
ควรเตรียมตัวอย่างไรก่อนเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์
- ศึกษาข้อมูลที่จำเป็นล่วงหน้า ทั้งการเลือกคลินิกหรือโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐาน สังเกตฟิลเลอร์ของแต่ละยี่ห้อ หลีกเลี่ยงฟิลเลอร์ถาวร หรือฟิลเลอร์ปลอม รวมไปถึงศึกษาแพทย์ประจำคลินิก หรือแพทย์ที่จะมาดูแลเคสของเราอย่างถี่ถ้วน เพื่อผลลัพธ์ที่คุ้มค่า และปลอดภัย
- งดยาแอสไพริน NSAIDs เช่น Ibuprofen, Diclofenac, Ponstan
- หากมีโรคประจำตัว หรือมียาที่กินประจำ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์ทุกครั้ง
- งดสกินแคร์ชนิดผลัดเซลล์ผิวจำพวก Retinol, Retinoids และ Glycolic Acid ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ประมาณ 3 วัน
- งดวิตามินที่ส่งผลกระตุ้นการไหลเวียนเลือด อาทิ Garlic, Ginseng, Vitamin E, St. Johns Wort, Ginkgo biloba และ Primrose oil เพราะจะทำให้เลือดแข็งตัวช้า เสี่ยงต่ออาการช้ำหลังฉีดได้
- งดคอร์สเลเซอร์ และหัตถการเกี่ยวกับใบหน้าอย่างน้อย 3 วันก่อนการฉีด
- งดการดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมง ก่อนฉีดฟิลเลอร์
- งดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด เช่น การออกกำลังกายหนัก การคาร์ดิโอ การเข้าซาวน่า เป็นต้น
- สามารถแจ้งเพื่อขอยาชาก่อนฉีดฟิลเลอร์ได้
- ในบางเคส แพทย์จะพิจารณาให้กินยาห้ามเลือด หรือยาลดบวม เพื่อลดความเสี่ยงในการบวมช้ำ หรืออักเสบติดเชื้อ
ขั้นตอนในการฉีดฟิลเลอร์ มีอะไรบ้าง
- พบแพทย์เพื่อปรึกษา และประเมินปัญหาที่ต้องการแก้ไข
- แพทย์แนะนำยี่ห้อ และรุ่นฟิลเลอร์ที่เหมาะสม คำนวณปริมาณ และจุดที่จะฉีดโดยละเอียด
- ทำความสะอาดใบหน้า ถ้าแต่งหน้ามาจะมีการเช็ดเครื่องสำอางบริเวณที่จะฉีดออกไป
- แพทย์แกะกล่องฟิลเลอร์ให้ดูต่อหน้า เราสามารถตรวจสอบได้ทันทีว่าเป็นของแท้หรือไม่
- ก่อนการฉีด แพทย์จะประคบน้ำแข็ง หรือแปะยาชาเพื่อลดความเจ็บจากเข็ม
- หลังฉีดฟิลเลอร์เสร็จแล้ว แพทย์จะแนะนำวิธีดูแลตัวเอง รวมไปถึงข้อควรปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อให้ฟิลเลอร์เข้าที่เร็วขึ้น และอยู่ได้นานขึ้น
วิธีดูแลตัวเอง หลังเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์
หลังฉีดฟิลเลอร์ทันที
- หลีกเลี่ยงการเกา แกะ นวด คลึง บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์
- อาจมีการบวมแดง หรือเขียวช้ำ เป็นเรื่องปกติ และจะดีขึ้นใน 2-3 วัน
- ห้ามประคบ ไม่ว่าจะเป็นการประคบเย็นหรือประคบร้อน
- กินยาบรรเทาอาการปวด หากมีอาการปวดบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์
หลังฉีดฟิลเลอร์ไปแล้ว 1 วันเป็นต้นไป
- ควรล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน ๆ
- งดการสครับ หรือถูใบหน้าแรง ๆ
- งดเลเซอร์ร้อนที่ผิวชั้นลึกอย่างน้อย 1 เดือน
- ควรอยู่ในที่อากาศเย็น หลีกเลี่ยงสถานที่ และกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายร้อนขึ้น อาทิ ซาวน่า การออกกำลังกายหนัก และการตากแดด เป็นต้น
- ดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอ ประมาณ 1.5 – 2 ลิตรต่อวัน เพื่อให้ฟิลเลอร์ฟูได้รูป
หลังจากผ่านไปประมาณ 7-14 วัน รอยช้ำ และรอยแดงต่าง ๆ จะจางหายไปเอง ฟิลเลอร์ก็จะเข้าที่ได้รูปสวยเป็นที่พึงพอใจ แต่ถ้าหากพบอาการผิดปกติต่าง ๆ หลังฉีดฟิลเลอร์ ไม่ว่าจะเป็นการจับตัวเป็นก้อนนูนออกมา ฟิลเลอร์ไหล อาการปวดบวมแดง หรือการระคายเคืองอื่น ๆ แนะนำให้รีบพบแพทย์เพื่อตรวจเช็คอาการ จะได้เข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที
หลังฉีดฟิลเลอร์ จะมีอาการหรือผลข้างเคียงอะไรบ้าง ?
ผลข้างเคียงที่หลัง อาจเกิดได้จากหลายปัจจัยแตกต่างออกไปตามแต่ละบุคคล รวมไปถึงยี่ห้อ และรุ่นฟิลเลอร์ที่ใช้ ความถูกต้องของการฉีด ปริมาณ และความเชี่ยวชาญของแพทย์ โดยส่วนใหญ่ผลข้างเคียงมักไม่รุนแรง แต่จะมีผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนี้
- อาการฟกช้ำจากการใช้เข็มฉีดยาผ่านเส้นเลือด
- อาการปวด บวมแดง หรือนูนเป็นก้อน หลังฉีดในระยะแรก
- ฟิลเลอร์ย้อยเป็นก้อนแข็ง
- ติดเชื้อเฉียบพลัน
- เกิดตุ่มก้อน หรือบวมใต้ผิวหนังจากการติดเชื้อ หรือการแพ้
- ภาวะเส้นเลือดอุดตัน อาจทำให้เกิดภาวะเนื้อตาย และอาจเข้าไปสู่เส้นเลือดที่เลี้ยงดวงตาจนทำให้ตาบอดได้
- มีหนอง หรือน้ำเหลืองซึมออกมาจากการใช้ฟิลเลอร์ถาวร
ในกรณีที่เราฉีดฟิลเลอร์ถาวร ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือฟิลเลอร์ปลอม อาจส่งผลร้ายแรงต่อร่างกายของเราได้ เส้นเลือดอาจแตกหรืออุดตัน เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือฟิลเลอร์เข้าสู่กระแสเลือดจนอาจทำให้เสียชีวิตได้
ฉีดฟิลเลอร์ราคาเท่าไหร่ ?
ราคาสำหรับการฉีดฟิลเลอร์แต่ละจุด มีความผกผันขึ้นอยู่กับยี่ห้อ และรุ่นของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ รวมไปถึงคลินิกที่เราใช้บริการ
รวมคำถามเกี่ยวกับฟิลเลอร์ที่พบบ่อย
Q: หลังฟิลเลอร์สลายหมดแล้ว เปลี่ยนยี่ห้อที่ฉีดได้ไหม ?
- A: เปลี่ยนยี่ห้อได้ ไม่จำเป็นต้องฉีดยี่ห้อเดิมเสมอไป แต่แนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย เพราะฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่น มีความเหมาะสมต่อริ้วรอยต่าง ๆ แตกต่างกัน
Q: ถ้าฟิลเลอร์สลายหมด จะทำให้หน้าแก่กว่าเดิมไหม ?
- A: ไม่ การฉีดฟิลเลอร์นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ อย่างได้ผลแล้ว ยังช่วยชะลออายุผิวให้แก่ช้าลงได้อีกด้วย เพราะบริเวณที่เราฉีดฟิลเลอร์เข้าไปจะมีความชุ่มชื้น และมีน้ำหล่อเลี้ยงมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้คอลลาเจนกับอิลาสตินถูกสร้างขึ้นตามไปด้วย แม้ฟิลเลอร์จะสลายไปหมดแล้ว แต่สภาพผิวบริเวณที่ฉีดจะดูสุขภาพดีกว่าช่วงที่ยังไม่ได้ฉีด เพราะคอลลาเจนกับอิลาสตินยังทำงานอยู่ในร่างกายนั่นเอง
Q: ต้องรอให้ฟิลเลอร์เดิมสลายหมดก่อนไหม ถึงจะฉีดเพิ่มได้ ?
- A: ไม่จำเป็น การเติมฟิลเลอร์ สามารถเติมได้เรื่อย ๆ ตามความเหมาะสม แต่ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัย
Recent Comments