แพ้ฟิลเลอร์ มาทำความเข้าใจกันก่อนว่าฟิลเลอร์คืออะไร
ฟิลเลอร์ (Filler) คือ สารเติมเต็มที่ใช้ฉีดเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับริ้วรอยและความหย่อนคล้อย โดยสารที่ใช้ส่วนใหญ่เป็น กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายสร้างขึ้นเองตามธรรมชาติอยู่แล้ว จึงมีความปลอดภัยค่อนข้างสูงและสามารถสลายไปได้เอง
ฟิลเลอร์นิยมใช้เพื่ออะไร?
เติมเต็มริ้วรอย: ช่วยให้ริ้วรอยร่องลึก เช่น ร่องแก้ม ร่องใต้ตา หรือรอยย่นบนหน้าผากดูตื้นขึ้น
เพิ่มวอลลุ่ม: ใช้เติมเต็มในส่วนที่ต้องการให้ดูอิ่มเอิบขึ้น เช่น แก้มตอบ ขมับบุ๋ม หรือริมฝีปาก
ปรับรูปหน้า: ช่วยปรับโครงสร้างใบหน้าให้ดูสมส่วนและได้รูปมากขึ้น เช่น เสริมคางให้ดูเรียวขึ้น หรือปรับจมูกให้โด่งขึ้น
แพ้ฟิลเลอร์ เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง
การแพ้ฟิลเลอร์ส่วนใหญ่มักมีสาเหตุหลักมาจากปัจจัยภายนอกที่ควบคุมได้ มากกว่าการแพ้ตัวสารฟิลเลอร์แท้โดยตรง โดยสาเหตุหลัก ๆ มีดังนี้ครับ
1. การใช้ฟิลเลอร์ปลอม หรือฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน
นี่คือสาเหตุที่พบบ่อยและอันตรายที่สุด ฟิลเลอร์ปลอมมักไม่ได้ทำมาจากกรดไฮยาลูรอนิก แต่ใช้สารอื่นที่ไม่สามารถสลายได้ตามธรรมชาติ เช่น
- ซิลิโคนเหลว หรือพาราฟิน: สารเหล่านี้เมื่อฉีดเข้าไปแล้วจะไม่สลายไปเอง ทำให้เกิดการอักเสบ จับตัวเป็นก้อนแข็ง และอาจไหลย้อยผิดรูปได้
- สารที่ไม่บริสุทธิ์: อาจมีสิ่งเจือปนที่ทำให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาต่อต้านและอักเสบได้
2. เทคนิคการฉีดที่ไม่ถูกต้อง
การฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการที่ต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์ หากฉีดผิดตำแหน่ง เช่น
- ฉีดตื้นเกินไป: อาจทำให้ฟิลเลอร์จับตัวเป็นก้อนนูน
- ฉีดเข้าไปในเส้นเลือด: เป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือด เนื้อเยื่อขาดเลือดและตายได้ หรือร้ายแรงถึงขั้นตาบอด
3. การติดเชื้อ
สาเหตุนี้มักเกิดจากการฉีดในสถานที่ที่ไม่สะอาด อุปกรณ์ที่ใช้ไม่ปลอดเชื้อ หรือการดูแลหลังฉีดที่ไม่ถูกวิธี ทำให้เชื้อโรคเข้าไปในผิวหนังและก่อให้เกิดการอักเสบ บวมแดง หรือเป็นหนองได้
4. การแพ้ตัวสารฟิลเลอร์เอง (พบน้อยมาก)
แม้ว่าฟิลเลอร์แท้ส่วนใหญ่ที่ทำจากกรดไฮยาลูรอนิกจะเป็นสารที่ร่างกายสร้างขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ในบางกรณี ผู้ที่มีประวัติแพ้ง่ายมาก ๆ อาจมีปฏิกิริยาต่อต้านสารฟิลเลอร์ได้เช่นกัน แต่กรณีนี้พบได้น้อยมากเมื่อเทียบกับสาเหตุอื่น ๆ
แพ้ฟิลเลอร์ เป็นอย่างไรมีอาการอะไรบ้าง
อาการแพ้ฟิลเลอร์อาจเกิดขึ้นได้หลายแบบ ตั้งแต่ไม่รุนแรงไปจนถึงรุนแรงมาก และอาจเกิดขึ้นได้ทั้งทันทีหลังฉีดหรือหลังจากนั้นหลายเดือน โดยอาการที่พบได้บ่อยมีดังนี้
อาการแพ้ฟิลเลอร์ทั่วไป (ไม่รุนแรงมาก)
บวม แดง ร้อน: บริเวณที่ฉีดมีอาการบวมแดงและรู้สึกร้อน ซึ่งอาจเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้หลังฉีด แต่หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2 สัปดาห์ หรือแย่ลง ควรปรึกษาแพทย์
คันและมีผื่น: มีอาการคัน มีตุ่ม หรือผื่นขึ้นบริเวณที่ฉีด
ปวด: รู้สึกปวดหรือกดเจ็บมากกว่าปกติ
อาการแพ้ฟิลเลอร์ที่ควรระวัง (อาจเป็นอันตราย)
ฟิลเลอร์เป็นก้อน: มีการจับตัวเป็นก้อนแข็ง หรือนูนผิดปกติ
ผิวหนังเปลี่ยนสี: ผิวหนังบริเวณที่ฉีดเปลี่ยนเป็นสีม่วงหรือขาวซีด
ติดเชื้อ: มีหนองหรือน้ำเหลืองไหลออกมาจากบริเวณที่ฉีด
ปวดรุนแรงและบวมมากขึ้นเรื่อยๆ: อาการปวดและบวมไม่ลดลง แต่กลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ผลข้างเคียงที่อันตรายมาก (พบได้น้อยมาก)
อุดตันเส้นเลือด: หากฟิลเลอร์ถูกฉีดเข้าไปในเส้นเลือด อาจทำให้เลือดไม่ไหลเวียน ส่งผลให้เนื้อเยื่อขาดเลือดและตายได้
ตาบอด: เป็นผลข้างเคียงที่ร้ายแรงที่สุด เกิดจากการที่ฟิลเลอร์เข้าไปอุดตันเส้นเลือดที่เชื่อมต่อกับดวงตา
แพ้ฟิลเลอร์มีวิธีรักษาอย่างไร
เมื่อมีอาการแพ้ฟิลเลอร์หรือเกิดการอักเสบ สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องรีบกลับไปพบแพทย์ที่ทำการฉีดให้ทันที เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยและทำการรักษาอย่างถูกวิธี โดยทั่วไปแล้ว วิธีการรักษาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและสาเหตุของการอักเสบ ดังนี้
1. การรักษาด้วยยา
ยาแก้แพ้: สำหรับอาการแพ้ที่ไม่รุนแรง เช่น มีผื่นคัน หรือบวมเล็กน้อย แพทย์อาจให้ยาแก้แพ้เพื่อบรรเทาอาการ
ยาฆ่าเชื้อ (Antibiotics): หากการอักเสบมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะเพื่อควบคุมและกำจัดเชื้อโรค
ยาต้านการอักเสบ (Steroids): ในกรณีที่มีการอักเสบรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อยาอื่น ๆ แพทย์อาจพิจารณาฉีดหรือให้ยาสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบ
2. การฉีดสลายฟิลเลอร์
สารไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase): วิธีนี้ใช้ได้ผลดีกับฟิลเลอร์แท้ที่ทำจากกรดไฮยาลูรอนิกเท่านั้น โดยแพทย์จะฉีดเอนไซม์ชนิดนี้เข้าไปเพื่อสลายฟิลเลอร์ที่เป็นก้อนหรือมีปัญหาให้หมดไป
การสลายฟิลเลอร์จะช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด เช่น ฟิลเลอร์จับตัวเป็นก้อน อักเสบ หรือฉีดผิดตำแหน่ง
3. การผ่าตัดหรือขูดฟิลเลอร์ออก
วิธีนี้มักใช้ในกรณีที่ ฉีดฟิลเลอร์ปลอม ซึ่งไม่ใช่สารไฮยาลูรอนิก และไม่สามารถสลายได้ด้วยสารไฮยาลูโรนิเดส
แพทย์จะต้องทำการผ่าตัดหรือขูดเอาสารแปลกปลอมออกจากร่างกาย ซึ่งเป็นวิธีที่ซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูง
ข้อแนะนำ
ห้ามบีบ นวด หรือประคบร้อนด้วยตัวเอง: การทำเช่นนี้อาจทำให้อาการแย่ลง หรือฟิลเลอร์เคลื่อนที่ไปจากตำแหน่งเดิม
งดการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่: สิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดและอาจทำให้อาการอักเสบแย่ลง
ทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด: การดูแลตัวเองหลังจากการรักษาเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อป้องกันไม่ให้อาการกลับมาเป็นซ้ำ
เราจะมีมาตราการลดความเสี่ยงการแพ้ฟิลเลอร์ได้อย่างไร
การป้องกันการแพ้ฟิลเลอร์สามารถทำได้ตั้งแต่ขั้นตอนการเลือกคลินิกไปจนถึงการดูแลตัวเองหลังฉีด เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยมีข้อแนะนำดังนี้ครับ
1. เลือกคลินิกและแพทย์ที่น่าเชื่อถือ
เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและมีใบอนุญาต: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคลินิกนั้นเปิดทำการอย่างถูกต้อง มีสถานที่สะอาด และใช้อุปกรณ์ที่ปลอดเชื้อ
เลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ: แพทย์ควรมีความรู้และประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์ สามารถให้คำแนะนำและประเมินรูปหน้าได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ควรตรวจสอบว่าแพทย์มีใบอนุญาตและผ่านการอบรมอย่างถูกต้อง
2. ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์ต้องเป็นของแท้: ฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จะมีความปลอดภัยสูงกว่าฟิลเลอร์ปลอมที่อาจมีสารอันตราย
ตรวจสอบกล่องผลิตภัณฑ์: ก่อนฉีด ควรขอดูและตรวจสอบกล่องฟิลเลอร์ ซึ่งต้องมีเลขทะเบียน อย. ที่ชัดเจน มีวันหมดอายุ และยังไม่เคยถูกเปิดใช้งาน
3. เตรียมตัวก่อนฉีดอย่างเหมาะสม
แจ้งข้อมูลสุขภาพและประวัติการแพ้: ควรแจ้งให้แพทย์ทราบถึงโรคประจำตัว ยาที่กำลังรับประทาน รวมถึงประวัติการแพ้ยาหรือสารต่าง ๆ เพื่อให้แพทย์ประเมินความเสี่ยงได้อย่างถูกต้อง
งดอาหารเสริมและยาบางชนิด: ควรงดกลุ่มยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาแอสไพริน วิตามินอี หรือน้ำมันปลา ประมาณ 1-2 สัปดาห์ก่อนฉีด เพื่อลดโอกาสเกิดรอยช้ำ
พักผ่อนให้เพียงพอ: การพักผ่อนไม่เพียงพออาจทำให้ร่างกายอ่อนแอและส่งผลต่อการฟื้นตัวได้
4. การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์
ทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด: แพทย์จะให้คำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังฉีด เช่น การประคบเย็น การงดกิจกรรมบางอย่าง หรือการงดอาหารบางประเภท
หลีกเลี่ยงอาหารที่อาจกระตุ้นการอักเสบ: ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหารรสจัด อาหารหมักดอง หรืออาหารที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อน ๆ เช่น หมูกระทะ ปิ้งย่าง ประมาณ 2 สัปดาห์หลังฉีด
ดื่มน้ำให้เพียงพอ: การดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยให้ฟิลเลอร์เข้าที่และอุ้มน้ำได้ดีขึ้น
หลีกเลี่ยงความร้อนและแรงกด: งดการนวดหน้า อบซาวน่า หรือทำเลเซอร์ที่มีความร้อนสูงในช่วง 2 สัปดาห์แรก เพื่อป้องกันไม่ให้ฟิลเลอร์สลายตัวเร็วหรือเคลื่อนที่
การป้องกันที่ดีที่สุดคือการเลือกฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในคลินิกที่ได้มาตรฐานและใช้ฟิลเลอร์แท้เท่านั้น หากพบอาการผิดปกติใด ๆ ควรรีบกลับไปพบแพทย์ทันที เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้องครับ
Recent Comments